Emma Watson สัมภาษณ์ Margaret Atwood ผู้เขียนหนังสือ The Handmaid's Tale ที่เอ็มม่าเลือกเป็นหนังสือประจำเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน สำหรับชมรม Our Shared Shelf
สัมภาษณ์ลง Entertainment Weekly
บทความแปลไทย:
เอ็มม่า: ตอนนั้นคุณอาศัยอยู่เบอร์ลินตะวันตก ตอนที่คุณเขียน The Handmaid's Tale ในปี ค.ศ. 1984 ก่อนที่กำแพงจะทลายลง เคยอยู่ในเมืองที่แบ่งแยกอิทธิพลตอนเขียนนิยายหรือคุณเคยคิดถึงเรื่องนี้ก่อนจะมาถึงในเบอร์ลินไหม? ฉันอยากจะรู้ว่านิยายมีความเป็นมาอย่างไร
มาร์กาเร็ท: ฉันเคยคิดถึงเรื่องนั้นก่อนจะมาถึงด้วยซ้ำ และในตอนนั้น ตอนที่ฉันอยู่เบอร์ลินตะวันตกแล้ว ฉันยังได้ไปเยือนเมืองเชโกสโลวะเกีย (Czechoslovakia) , เยอรมนีตะวันออก และประเทศโปแลนด์ พวกเขายังไม่ได้ประกาศโองการเพราะว่าฉันอยู่มานานเท่าที่ฉันรู้จักชีวิตหลังม่านเหล็ก แต่มันเป็นเรื่องน่าสนใจมากที่จะอยู่ข้างใน รู้สึกถึงบรรยากาศเหล่านั้น เยอรมณีตะวันออกเป็นประเทศที่ถูกกดขี่ข่มเหงในตอนนั้น เมืองเชโกสโลวะเกียเป็นอันดับ 2 และประเทศโปแลนด์นั้นเปิดกว้างมาก ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่าทำไมประเทศโปแลนด์เป็นที่ซึ่งสงครามเย็นแตกตัวเป็นครั้งแรก น่าสนใจมากที่ได้อยู่ที่นั้น แต่ก็ยังไม่ใช่แรงบันดาลใจ
เอ็มม่า: งั้นอะไรคือแรงบันดาลใจในตอนนั้น? หากคุณไม่ว่าอะไรในคำถามของฉัน
มาร์กาเร็ท: มันมีอยู่ 3 แรงบันดาลในตอนนั้น สิ่งแรกเลยคือสิ่งที่คนปีกขวาได้กล่าวไปในปี ค.ศ. 1980 พวกเขาได้พูดเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขากำลังทำในปัจจุบันนี้ แต่ในตอนนั้นพวกเขาไม่มีอำนาจที่จะทำมัน ฉันเชื่อมั่นว่าคนที่พูดสิ่งต่างๆจะทำสิ่งเหล่านั้นถ้าหากพวกเขามีอำนาจ พวกเขาไม่ใช่แค่พูดเล่นๆไปเรื่อย ดังนั้น นั่นเลยเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจของฉัน หากคุณจะทำให้สตรีทั้งหลายกลับเข้าบ้าน คุณจะมีวิธีการอย่างไร? หากสหรัฐอเมริกากลายเป็นรัฐที่เผด็จการ รัฐจะออกมาเป็นแบบไหนกัน? เจตจำนงของมันคืออะไรกัน? ข้ออ้างแบบไหนกันที่จะใช้สำหรับการสังหารโหด? เพราะพวกเขาทุกคนต่างมีแก้ตัวกันในบางอย่าง มันจะไม่เป็นลัทธิคอมมิวนิสต์ในสหรัฐอเมริกา คงไม่ต้องสงสัยอุดมการณ์หรอก มันต้องเป็นอุดมการณ์ทางศาสนาซึ่งก็เป็นอยู่ในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม นั้นไม่ใช่คำแถลงการณ์เรื่อง "ต่อต้านศาสนา" เมื่อเร็วๆ นี้มีคนกล่าวกันว่า “Religion doesn't radicalize people, people radicalized religion - ศาสนาไม่ได้ทำให้คนแย่ แต่คนต่างหากที่ทำให้ศาสนาแย่” (อันนี้ไม่รู้จะแปลยังไง 555 เข้าใจแต่ไม่รู้จะแปลออกมายังไง) ดังนั้นคุณสามารถใช้ศาสนาใดก็ได้เป็นข้ออ้างในการปราบปราม และคุณสามารถใช้ศาสนาใดก็ได้อีกในการเป็นข้ออ้างในการต่อต้านการปราบปราม มันทำได้ทั้งสองแหละ อย่างที่มันเป็นในหนังสือ นั้นก็เป็นอีกหนึ่งของแรงบันดาลใจ
แรงบันดาลใจที่สองคือสถานที่ประวัติศาสตร์ การสถาปนายุคที่ 17 ของอเมริกาไม่ใช่การ "ให้มีระบอบประชาธิปไตย" แต่มันคือการ “ให้มีการปกครองโดยถือพระเจ้าเป็นผู้ปกครองสูงสุด” (Theocracy คือระบบการปกครองที่ยึดถือพระเจ้าหรือเทพเจ้าเป็นหลัก) ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาตั้งขึ้นมาในรัฐนิวอิงแลนด์ (New England) อาทิเช่นรัฐแมสซาชูเซต (Massachusetts) – มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและรอบๆ ซึ่งนวนิยายชุดนี้เป็นพื้นฐานของวิทยาลัยศาสนศาสตร์ในศตวรรษที่ 17 (มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเป็นมหาลัยที่ก่อตั้งโดยคณะนักบวชและเป็นเขตที่นับถือพระเจ้าเป็นหลักในตอนนั้น) และบรรดาผู้นับถือศรัทธาได้ยกเว้นใครก็ตามที่ไม่เชื่อในธรรม
แรงบันดาลใจที่สามคือการอ่านนวนิยายเก็งกำไรและนวนิยายวิทยาศาสตร์ของฉันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุค 30, 40 และ 50 และความปรารถณาที่อยากจะลองทำสักครั้ง ส่วนใหญ่ที่ฉันได้อ่านนั้นแต่งโดยนักเขียนที่เป็นผู้ชายและมีผู้ชายเป็นตัวเอก และฉันอยากจะทำกลับกัน อยากจะรู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรหากถูกเล่าโดยมุมมองจากผู้เล่าผู้หญิง ไม่ใช่ว่าหนังสือเล่มก่อนหน้านี้ไม่มีผู้หญิงอยู่ในนั้น ไม่ใช่ว่าผู้หญิงไม่ได้เล่นส่วนสำคัญ ก็แค่พวกเขาไม่ใช่ผู้บรรยาย
เอ็มม่า: ใช่ ใช่! งั้นการเขียนหนังสือเล่มนี้และตระหนักได้ว่ามันจะต้องเกิดขึ้นเข้าสักวันหนึ่ง ผลการเลือกตั้งและการเรียกเก็บเงินค่ารักษาพยาบาลฉบับใหม่ในสหรัฐอเมริกาส่งผลต่อคุณอย่างหนักหรือไม่? เป็นช่วงเวลาที่หดหายมากสำหรับคุณหรือเปล่า?
มาร์กาเร็ท: ฉันไม่รู้สึกหดหู่ในสิ่งต่างๆเหล่านี้ มันเคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว หากคุณเกิดในยุค 90 คุณก็เกิดมาในโลกที่ค่อนข้างมีสิทธิสำหรับกลุ่มต่างๆ ที่ก่อตั้งขึ้น อย่างน้อยก็ทางตะวันตกและคุณคิดว่าเป็นเรื่องปกติ แต่หากคุณอายุมากกว่านี้สักหน่อยและเกิดมาในโลกที่ไม่ได้อยู่ในกรณีแบบนี้ คุณได้เห็นการต่อสู้ที่เข้าสู่สิทธิที่ก่อตั้งขึ้นมาแล้ว และคุณก็เห็นอย่างรวดเร็วในกรณีเช่นของฮิตเลอร์ (Adolf Hitler ผู้นำจอมเผด็จการของเยอรมนี) เพื่อให้คุณสามารถใช้สังคมที่เปิดเสรีและเปิดกว้างในด้านประชาธิปไตย ดังนั้นมันเลยเคยเกิดขึ้นมาก่อน และก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอีกด้วย หากคุณเข้าใจว่าฉันหมายความว่ายังไง ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เส้นตรง และอเมริกาก็ไม่ใช่เยอรมณี อเมริกามีความหลากหลายมาก มันมีหลายรัฐที่แตกต่างกันอยู่ในนั้น ฉันไม่คิดว่าอเมริกาจะพลิกไปตามความคาดหมายทั้งหมดนี้ ตามที่คุณได้เห็นจากการอ่านข่าว คุณอาจเห็นว่าผู้หญิงที่แต่งกายแบบ Handmaids (การแต่งกายแบบหมวกสีขาวและชุดสีแดงสดใส) ได้หันมาใช้สภานิตบัญญัติของรัฐและนั่งอยู่ที่นั่น คุณจะไปเตะพวกเขาก็ไม่ได้เพราะพวกเขาไม่ได้ทำให้เกิดความวุ่นวาย แต่ทุกคนรู้ว่าพวกเขาหมายถึงสิ่งใด
เอ็มม่า: ขอบคุณที่ตอบคำถามของฉันอย่างละเอียด มันสุดยอดมากที่ได้อ่าน The Handmaid’s Tale และพูดถึงนับตั้งแต่มีการตีพิมพ์ มันไม่เคยจางหายไปจากมุมมอง คุณคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้คนรุ่นใหม่หลงใหลไปกับคนอ่าน นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ว่ามันพูดถึงช่วงเวลาทางการเมืองที่เฉพาะเจาะจงหรือไม่?
มาร์กาเร็ท: มันมีกฎอยู่ 2 ข้อที่ฉันมีเพื่อเขียนมันขึ้นมา หนึ่งในนั้นก็คือคือฉันจะไม่ใส่อะไรลงไปในสิ่งที่ไม่เคยทำมาในบางเวลาหรือในบางสถานที่ รายละเอียดทั้งหมดมีแบบอย่างในชีวิตจริง หนึ่งในนั้นได้กล่าวถึงในตอนท้ายของเล่ม อ้างอิงตามประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นหลายร้อยปีหลังจากจบกิเลอาด (Gilead เหมือนจะเป็นชื่อเมือง) ในซีรี่ย์ก็ทำตามกฎเดียวกัน พวกเขาได้เพิ่มบางสิ่งบางอย่าง เช่น การขลิบอวัยวะเพศหญิง แต่พวกเขาก็ปฏิบัติตามกฎที่ว่าจะไม่ใส่อะไรลงไป หากไม่มีเกิดขึ้นในความเป็นจริง นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนรู้ว่าฉันไม่ใช่แค่สร้างความสยดสยองเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
ฉันก็ยังพยายามที่จะซื่อสัตย์ ไม่ใช่แค่อุดมการณ์นามธรรมเท่านั้น แต่คนจะประพฤติอย่างไรเมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันมาก ฉันเพิ่งจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับทหารเด็กที่ถูกลักพาตัวโดย Boko Haram โดยทั่วไปพวกเขาแต่ละคนต้องฆ่าคนตามที่พวกเขาสั่ง หรือพวกเขาจะถูกฆ่าซะเอง เมื่อนั่นเป็นตัวเลือกเดียว พวกเขาก็จะทำในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยทำเพื่อที่จะมีชีวิตรอด
มาร์กาเร็ท: ฉันเคยคิดถึงเรื่องนั้นก่อนจะมาถึงด้วยซ้ำ และในตอนนั้น ตอนที่ฉันอยู่เบอร์ลินตะวันตกแล้ว ฉันยังได้ไปเยือนเมืองเชโกสโลวะเกีย (Czechoslovakia) , เยอรมนีตะวันออก และประเทศโปแลนด์ พวกเขายังไม่ได้ประกาศโองการเพราะว่าฉันอยู่มานานเท่าที่ฉันรู้จักชีวิตหลังม่านเหล็ก แต่มันเป็นเรื่องน่าสนใจมากที่จะอยู่ข้างใน รู้สึกถึงบรรยากาศเหล่านั้น เยอรมณีตะวันออกเป็นประเทศที่ถูกกดขี่ข่มเหงในตอนนั้น เมืองเชโกสโลวะเกียเป็นอันดับ 2 และประเทศโปแลนด์นั้นเปิดกว้างมาก ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่าทำไมประเทศโปแลนด์เป็นที่ซึ่งสงครามเย็นแตกตัวเป็นครั้งแรก น่าสนใจมากที่ได้อยู่ที่นั้น แต่ก็ยังไม่ใช่แรงบันดาลใจ
เอ็มม่า: งั้นอะไรคือแรงบันดาลใจในตอนนั้น? หากคุณไม่ว่าอะไรในคำถามของฉัน
มาร์กาเร็ท: มันมีอยู่ 3 แรงบันดาลในตอนนั้น สิ่งแรกเลยคือสิ่งที่คนปีกขวาได้กล่าวไปในปี ค.ศ. 1980 พวกเขาได้พูดเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขากำลังทำในปัจจุบันนี้ แต่ในตอนนั้นพวกเขาไม่มีอำนาจที่จะทำมัน ฉันเชื่อมั่นว่าคนที่พูดสิ่งต่างๆจะทำสิ่งเหล่านั้นถ้าหากพวกเขามีอำนาจ พวกเขาไม่ใช่แค่พูดเล่นๆไปเรื่อย ดังนั้น นั่นเลยเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจของฉัน หากคุณจะทำให้สตรีทั้งหลายกลับเข้าบ้าน คุณจะมีวิธีการอย่างไร? หากสหรัฐอเมริกากลายเป็นรัฐที่เผด็จการ รัฐจะออกมาเป็นแบบไหนกัน? เจตจำนงของมันคืออะไรกัน? ข้ออ้างแบบไหนกันที่จะใช้สำหรับการสังหารโหด? เพราะพวกเขาทุกคนต่างมีแก้ตัวกันในบางอย่าง มันจะไม่เป็นลัทธิคอมมิวนิสต์ในสหรัฐอเมริกา คงไม่ต้องสงสัยอุดมการณ์หรอก มันต้องเป็นอุดมการณ์ทางศาสนาซึ่งก็เป็นอยู่ในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม นั้นไม่ใช่คำแถลงการณ์เรื่อง "ต่อต้านศาสนา" เมื่อเร็วๆ นี้มีคนกล่าวกันว่า “Religion doesn't radicalize people, people radicalized religion - ศาสนาไม่ได้ทำให้คนแย่ แต่คนต่างหากที่ทำให้ศาสนาแย่” (อันนี้ไม่รู้จะแปลยังไง 555 เข้าใจแต่ไม่รู้จะแปลออกมายังไง) ดังนั้นคุณสามารถใช้ศาสนาใดก็ได้เป็นข้ออ้างในการปราบปราม และคุณสามารถใช้ศาสนาใดก็ได้อีกในการเป็นข้ออ้างในการต่อต้านการปราบปราม มันทำได้ทั้งสองแหละ อย่างที่มันเป็นในหนังสือ นั้นก็เป็นอีกหนึ่งของแรงบันดาลใจ
แรงบันดาลใจที่สองคือสถานที่ประวัติศาสตร์ การสถาปนายุคที่ 17 ของอเมริกาไม่ใช่การ "ให้มีระบอบประชาธิปไตย" แต่มันคือการ “ให้มีการปกครองโดยถือพระเจ้าเป็นผู้ปกครองสูงสุด” (Theocracy คือระบบการปกครองที่ยึดถือพระเจ้าหรือเทพเจ้าเป็นหลัก) ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาตั้งขึ้นมาในรัฐนิวอิงแลนด์ (New England) อาทิเช่นรัฐแมสซาชูเซต (Massachusetts) – มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและรอบๆ ซึ่งนวนิยายชุดนี้เป็นพื้นฐานของวิทยาลัยศาสนศาสตร์ในศตวรรษที่ 17 (มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเป็นมหาลัยที่ก่อตั้งโดยคณะนักบวชและเป็นเขตที่นับถือพระเจ้าเป็นหลักในตอนนั้น) และบรรดาผู้นับถือศรัทธาได้ยกเว้นใครก็ตามที่ไม่เชื่อในธรรม
แรงบันดาลใจที่สามคือการอ่านนวนิยายเก็งกำไรและนวนิยายวิทยาศาสตร์ของฉันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุค 30, 40 และ 50 และความปรารถณาที่อยากจะลองทำสักครั้ง ส่วนใหญ่ที่ฉันได้อ่านนั้นแต่งโดยนักเขียนที่เป็นผู้ชายและมีผู้ชายเป็นตัวเอก และฉันอยากจะทำกลับกัน อยากจะรู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรหากถูกเล่าโดยมุมมองจากผู้เล่าผู้หญิง ไม่ใช่ว่าหนังสือเล่มก่อนหน้านี้ไม่มีผู้หญิงอยู่ในนั้น ไม่ใช่ว่าผู้หญิงไม่ได้เล่นส่วนสำคัญ ก็แค่พวกเขาไม่ใช่ผู้บรรยาย
เอ็มม่า: ใช่ ใช่! งั้นการเขียนหนังสือเล่มนี้และตระหนักได้ว่ามันจะต้องเกิดขึ้นเข้าสักวันหนึ่ง ผลการเลือกตั้งและการเรียกเก็บเงินค่ารักษาพยาบาลฉบับใหม่ในสหรัฐอเมริกาส่งผลต่อคุณอย่างหนักหรือไม่? เป็นช่วงเวลาที่หดหายมากสำหรับคุณหรือเปล่า?
มาร์กาเร็ท: ฉันไม่รู้สึกหดหู่ในสิ่งต่างๆเหล่านี้ มันเคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว หากคุณเกิดในยุค 90 คุณก็เกิดมาในโลกที่ค่อนข้างมีสิทธิสำหรับกลุ่มต่างๆ ที่ก่อตั้งขึ้น อย่างน้อยก็ทางตะวันตกและคุณคิดว่าเป็นเรื่องปกติ แต่หากคุณอายุมากกว่านี้สักหน่อยและเกิดมาในโลกที่ไม่ได้อยู่ในกรณีแบบนี้ คุณได้เห็นการต่อสู้ที่เข้าสู่สิทธิที่ก่อตั้งขึ้นมาแล้ว และคุณก็เห็นอย่างรวดเร็วในกรณีเช่นของฮิตเลอร์ (Adolf Hitler ผู้นำจอมเผด็จการของเยอรมนี) เพื่อให้คุณสามารถใช้สังคมที่เปิดเสรีและเปิดกว้างในด้านประชาธิปไตย ดังนั้นมันเลยเคยเกิดขึ้นมาก่อน และก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอีกด้วย หากคุณเข้าใจว่าฉันหมายความว่ายังไง ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เส้นตรง และอเมริกาก็ไม่ใช่เยอรมณี อเมริกามีความหลากหลายมาก มันมีหลายรัฐที่แตกต่างกันอยู่ในนั้น ฉันไม่คิดว่าอเมริกาจะพลิกไปตามความคาดหมายทั้งหมดนี้ ตามที่คุณได้เห็นจากการอ่านข่าว คุณอาจเห็นว่าผู้หญิงที่แต่งกายแบบ Handmaids (การแต่งกายแบบหมวกสีขาวและชุดสีแดงสดใส) ได้หันมาใช้สภานิตบัญญัติของรัฐและนั่งอยู่ที่นั่น คุณจะไปเตะพวกเขาก็ไม่ได้เพราะพวกเขาไม่ได้ทำให้เกิดความวุ่นวาย แต่ทุกคนรู้ว่าพวกเขาหมายถึงสิ่งใด
เอ็มม่า: ขอบคุณที่ตอบคำถามของฉันอย่างละเอียด มันสุดยอดมากที่ได้อ่าน The Handmaid’s Tale และพูดถึงนับตั้งแต่มีการตีพิมพ์ มันไม่เคยจางหายไปจากมุมมอง คุณคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้คนรุ่นใหม่หลงใหลไปกับคนอ่าน นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ว่ามันพูดถึงช่วงเวลาทางการเมืองที่เฉพาะเจาะจงหรือไม่?
มาร์กาเร็ท: มันมีกฎอยู่ 2 ข้อที่ฉันมีเพื่อเขียนมันขึ้นมา หนึ่งในนั้นก็คือคือฉันจะไม่ใส่อะไรลงไปในสิ่งที่ไม่เคยทำมาในบางเวลาหรือในบางสถานที่ รายละเอียดทั้งหมดมีแบบอย่างในชีวิตจริง หนึ่งในนั้นได้กล่าวถึงในตอนท้ายของเล่ม อ้างอิงตามประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นหลายร้อยปีหลังจากจบกิเลอาด (Gilead เหมือนจะเป็นชื่อเมือง) ในซีรี่ย์ก็ทำตามกฎเดียวกัน พวกเขาได้เพิ่มบางสิ่งบางอย่าง เช่น การขลิบอวัยวะเพศหญิง แต่พวกเขาก็ปฏิบัติตามกฎที่ว่าจะไม่ใส่อะไรลงไป หากไม่มีเกิดขึ้นในความเป็นจริง นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนรู้ว่าฉันไม่ใช่แค่สร้างความสยดสยองเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
ฉันก็ยังพยายามที่จะซื่อสัตย์ ไม่ใช่แค่อุดมการณ์นามธรรมเท่านั้น แต่คนจะประพฤติอย่างไรเมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันมาก ฉันเพิ่งจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับทหารเด็กที่ถูกลักพาตัวโดย Boko Haram โดยทั่วไปพวกเขาแต่ละคนต้องฆ่าคนตามที่พวกเขาสั่ง หรือพวกเขาจะถูกฆ่าซะเอง เมื่อนั่นเป็นตัวเลือกเดียว พวกเขาก็จะทำในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยทำเพื่อที่จะมีชีวิตรอด
อย่างอื่นก็คือหากเสนอตำแหน่งอำนาจภายในที่ค่อนข้างไร้อำนาจ บางคนก็คว้ามันไว้ หลายคนถามว่า “ทำไมคุณถึงต้องมี Aunt Lydia (ตัวละครตัวหนึ่งในนิยาย)” “ทำไมคุณต้องมีป้าคอยควบคุมผู้หญิง” และฉันก็บอกไปว่า พวกเขาควรจะเป็น! นั่นเป็นวิธีที่โครงสร้างพลังงานดังกล่าวจะทำงานได้ นั่นเป็นวิธีการสร้างอำนาจดังกล่าว นั่นเป็นวิธีที่พวกเขาทำกันในอดีต คุณให้คนอื่นมีอำนาจมากกว่าคนอื่นๆ และพวกเขาก็จะเอามันไป ดังนั้นมันไม่ใช่กรณีที่ผู้หญิงทุกคนจะเป็นเทพธิดา เราทุกคนก็รู้ว่ามันไม่จริงเอาซะเลย ผู้หญิงทุกคนคือมนุษย์ ฉันเคยพยายามที่จะเป็นจริงกับธรรมชาติของมนุษย์นะ
ดังนั้นหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่การละเมิดธรรมชาติของมนุษย์ และไม่ใช่เพียงแค่สิ่งประดิษฐ์ด้วย มันสร้างจากสิ่งที่คนได้ทำกันจริงๆ และด้วยเหตุฉะนั้นก็อาจจะทำอีก จากนั้นก็ไม่มีกลอุปกรณ์อยู่ในนั้น ไม่มีเทคโนโลยีใดๆ ที่เราไม่มีอยู่ ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1980 เราไม่ได้มีอะไรในทีวีซีรี่ย์ แต่เชื่อหรือไม่ว่า ไม่มีโทรศัพท์มือถือและไม่มีอินเทอร์เน็ต แต่มันมีบัตรเครดิต ดังนั้นพวกเขาสามารถติดตามคุณและควบคุมคุณผ่านบัตรเครดิตของคุณ
เอ็มม่า: นั้นเป็นเรื่องแปลกสำหรับฉันมากจริงๆ ฉันเพิ่งจะถ่ายทำหนังเสร็จไปเรื่อง The Circle ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการควบคุมข้อมูลของกลุ่มใหญ่ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
มาร์กาเร็ท: หนังสือของ Dave Eggers?
เอ็มม่า: นั้นแหละ ใช่เลย!
มาร์กาเร็ท: ฉันได้เขียนรีวิวให้กับ New York Review
เอ็มม่า: ฉันจะต้องได้อ่านรีวิวนั้น มันสุดยอดมากเลย ก็.. ฉันอ่านหนังสือและก็กลายเป็นว่าฉันหมกมุ่นอยู่กับมัน
มาร์กาเร็ท: รีวิวของฉันอาจจะอธิบายเกี่ยวกับคุณได้ [หัวเราะ] ทฤษฎีของฉันคือว่ามันเป็นฝาปิดช่องลม
เอ็มม่า: พูดถึงการแปลหนังสือเป็นบทภาพยนตร์ The Handmaid’s Tale มีการปรับบทหลายครั้งมาก่อน คุณชื่นชอบอันไหนสักอันไหม?
มาร์กาเร็ท: ก็.. ทีวีซีรีย์ก็ดีนะ
เอ็มม่า: ใช่ ดีมากอย่างบ้าบอเลยแหละ
มาร์กาเร็ท: ฉบับโอเปร่าก็ดีเหมือนกัน
เอ็มม่า: มีฉบับโอเปร่าด้วยหรอ?
มาร์กาเร็ท: ใช่ เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 2000
เอ็มม่า: คุณชอบเห็นผลงานตัวเองถูกปรับเปลี่ยนไหม หรือคุณเห็นว่ามันยาก?
มาร์กาเร็ท: ก็.. ฉันเคยชินกับการเขียนบทภาพยนตร์และละครในยุค 70 ครั้งแรกของฉัน มันไม่ถูกสร้าง แต่มันน่าสนใจที่จะทำมาก ดังนั้น ฉันเลยเข้าใจว่ามันมีขบวนการ และฉันก็เข้าใจว่ามีหลายสิ่งที่คุณสามารถทำได้ด้วยคำพูดที่คุณไม่สามารถทำได้ด้วยภาพและสิ่งต่างๆ ที่คุณสามารถทำได้ด้วยรูปภาพและดนตรี และการแสดงที่คุณไม่สามารถทำได้ด้วยคำพูด ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเป็นแรงกายของทั้งกลุ่มหนังและทีวีซีรี่ย์ ทำงานเหมือนแคมป์ในช่วงฤดูร้อนและเติบใหญ่ หากอากาศดีคุณก็ชอบผู้คน มันก็สนุก แต่ถ้าหากว่าบรรยากาศแย่ คุณไม่ชอบผู้คน มันก็คือนรกนั่นเอง และพ่อแม่ก็จะไม่มารับคุณกลับบ้าน ฉันเจอมาทั้ง 2 ประสบการณ์นั้น เหมือนอย่างคนที่ทำงานสิ่งนั้นในเวลาอันยาวนานอาจมี และฉันก็ยังรู้ว่าคุณสามารถมีบทที่ดีที่สุด นักแสดงที่ดีที่สุด และทุกอย่างที่ดีที่สุด แต่มันก็อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่น่าภิรมย์ได้
เอ็มม่า: นี่เป็นเดิมพัน พวกเราก็ทำ
มาร์กาเร็ท: ใช่ การถ่ายทำภาพยนตร์ไม่สามารถคาดเดาได้ คุณสามารถมีโปรเจ็คสักอันที่คุณไม่สามารถวางแผนได้จริงๆ มีงบประมาณเล็กน้อยและนักแสดงที่ไม่มีใครเคยรู้จักแต่ดันกลายมาเป็นลัทธิคลาสสิก เหมือนอย่าง Night of The Living Dead ดังนั้นฉันรู้ว่ามันคือการเสี่ยงดวง แต่อะไรก็ตามในทางศิลปะคือการเดินพัน และก็มีโชคมากมายที่มาเกี่ยวข้อง มีทั้งดีและไม่ดี
เอ็มม่า: ขอกลับมาที่คำถามหน่อยดีกว่า นึกขึ้นได้จากคำตอบของคุณก่อนหน้านี้ เราอาศัยอยู่ในระบบการปกครองแบบปิตาธิปไต (แบบฉันพ่อลูก) เราอยู่ในลักษณะโครงสร้างของอำนาจเจาะจง คุณเชื่อไหมว่ามันเป็นไปได้ที่ผู้หญิงทุกคนสามารถปรองดองกันเองได้?
มาร์กาเร็ท: แน่นอน มันมีสิ่งที่ยากมากมาย แต่เราก็เป็นมนุษย์ทั่วไป! มันเป็นไปได้ที่ผู้ชายคนหนึ่งจะเข้ากับอีกคนหนึ่งได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาเองจะมีการแข่งขันสูง แต่ผู้หญิงก็ด้วยเช่นกันเป็นมนุษย์ทั่วไปเหมือนกัน นั่นเป็นรากฐานความเชื่อของฉัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้รับการยกเว้นจากอารมณ์ที่มนุษย์ทั่วไปมี คือ มีรัก มีเกลียด มีความริษยา มีความซื่อสัตย์ มีการแข่งขัน มันมาพร้อมกันทั้งหมดนั่นแหละ
แต่เราก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในแค่ “ฉันพ่อลูก” เราอาศัยอยู่ในการปกครองหลายรูปแบบ คุณระบุเวลาที่ผู้หญิงได้รับการปฏิบัติที่เลวร้ายกว่าผู้ชายได้ (ช่วงการถือกำเนิดของข้าวสาลีและการเกษตร) ให้ฉันบอกคุณแบบนี้ดีกว่า ในหมู่ชาวเอสกิโมนั้นมีความเท่าเทียมกันเพราะแต่ละครึ่งมีส่วนช่วยในสวัสดิการ ไม่ใช่แค่การดำรงอยู่ของอีกฝ่าย งั้นผู้ชายจะล่าสัตว์โดยทั่วไปแต่เพื่อที่จะออกไปล่าสัตว์ พวกเขาต้องสวมใส่เสื้อผ้ากันน้ำที่ทำโดยผู้เชี่ยวชาญจากผู้หญิง ถ้าคุณทำเสื้อผ้าผิด คนก็จะเปียกและจากนั้นเขาจะแข็งและตาย และเรือคายัคของคุณถูกมองว่าเป็นชิ้นส่วนของเสื้อผ้าที่พอดีกับคุณ ดังนั้นถ้าคุณม้วนเรือคายัคของคุณ น้ำจะไม่เข้ามาข้างในและคุณจะมีเหตุมีผลด้วยตัวคุณเอง การทำเสื้อผ้าเป็นกระบวนการที่ลำบากมากและเป็นทักษะของผู้เชี่ยวชาญและมีมูลค่าสูง ดังนั้นในสังคมที่ผู้หญิงทำในสิ่งที่มีค่าสูง แน่นอนว่าสถานที่ของพวกเขาจะเท่าเทียมกันมากขึ้น เรารู้เรื่องนี้ผ่านทางการเงินขนาดเล็ก ฉันไม่รู้ว่าคุณจะทำตามเรื่องราวนั้นหรือไม่ แต่ในประเทศเช่นบังกลาเทศ นักการเงินระดับเล็กให้เงินกู้ยืมขนาดเล็กแก่ผู้หญิงเพื่อช่วยให้พวกเขาเริ่มต้นธุรกิจขนาดเล็กและทันทีที่พวกเขาเริ่มนำเงินเข้าบัญชี สถานะครอบครัวและสถานการณ์ของพวกเขาดีขึ้น ธุรกิจการเงินรายย่อยจะไม่ให้เงินยืมกับผู้ชาย แต่พวกเขาให้ยืมแก่ผู้หญิงเท่านั้นเพราะพวกเขากล่าวว่าผู้หญิงมีส่วนได้ส่วนเสียในการช่วยเหลือครอบครัวของตน ในขณะที่ผู้ชายอาจใช้จ่ายเงินเพื่อการแสดง ดังนั้นทั้งหมดที่จะต้องพิจารณา แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงได้รับการยกเว้นจากพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อกันและกัน
เอ็มม่า: อย่างแน่นอนว่าไม่! ความเกลียดชังของผู้หญิงไม่มีเพศ (หมายถึงไม่แบ่งแยกทางเพศ)
มาร์กาเร็ท: ใช่ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับการที่ผู้หญิงควรมีสิทธิออกเสียง ถ้าสิทธิในการออกเสียงลงคะแนนพิจารณาว่าผู้ชายทุกคนประพฤติดีแล้วจะไม่มีสิทธิในฐานะพลเมืองค่อนข้างแตกต่างจากพฤติกรรมของแต่ละบุคคล
เอ็มม่า: คุณรู้สึกเบื่อกับคำถามที่ว่า "คุณเป็นสิทธิสตรีหรือเปล่า?" คุณต้องได้รับการถามถึงเรื่องนี้เป็นจำนวนมากในขณะที่พูดถึงรายการทีวีรายการใหม่
มาร์กาเร็ท: ฉันไม่รู้สึกเบื่อกับเรื่องนี้ แต่เราต้องตระหนักว่าคำศัพท์ทั่วไปเหล่านี้เป็นคำศัพท์ทั่วไป ซึ่งอาจหมายถึงสิ่งทั้งปวงมากมาย ดังนั้นฉันมักพูดว่า "บอกฉันว่าด้วยคุณหมายถึงอะไรจากคำพูดนั้น และหลังจากนั้นเราก็คุยกันได้” ถ้าไม่สามารถบอกฉันได้ว่าพวกเขาหมายถึงอะไรพวกเขาก็ไม่ค่อยมีความคิดอะไรในหัวของสิ่งที่พวกเขากำลังพูดถึง เราหมายถึงสิทธิตามกฎหมายเท่าเทียมกันหรือไม่? เราหมายถึงผู้หญิงดีกว่าผู้ชายหรือไม่? เราหมายความว่าชายทุกคนควรถูกผลักออกจากหน้าผาหรือไม่? เราหมายถึงอะไร? เพราะคำนั้นหมายถึงสิ่งต่างๆ ทั้งหมด
เอ็มม่า: ฉันเห็นด้วย ฉันคิดว่ายังคงมีความสับสนและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำพูดอยู่มากดังนั้นมันสามารถกลายเป็นส่วนที่ยุ่งยากได้
มาร์กาเร็ท: มันเหมือนกับพวกคริสเตียน เราหมายถึงสมเด็จพระสันตะปาปาหรอ? เราหมายถึงมอรมอนหรอ? เรากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ที่นี่? เพราะพวกเขาค่อนข้างต่างกันมาก
เอ็มม่า: แน่นอน
มาร์กาเร็ท: งั้น.. ถ้าเราหมายถึงผู้หญิงควรเป็นพลเมืองที่มีสิทธิเท่าเทียมกัน ฉันเป็นทั้งหมดนี้ และความก้าวหน้ามากมายในชีวิตของฉันเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สิน และการหย่าร้าง และการคุมขังเด็ก และทุกสิ่งเหล่านั้น แต่เราหมายถึงว่าถูกตลอดหรือไม่? ขอพักก่อน! ฉันขอโทษ แต่ไม่! เทเรซ่าอาจเป็นผู้หญิงคนหนึ่งเพราะเห็นแก่สวรรค์!
เอ็มม่า: เช่นเดียวกับการเป็นนักเขียน คุณยังเป็นผู้รณรงค์ด้วยสาเหตุที่แตกต่างหลากหลายรวมทั้งสิ่งแวดล้อม
มาร์กาเร็ท: ก็จริง! แต่ฉันไม่ใช่มืออาชีพ มันไม่ใช่งานของฉันด้วย ฉันไม่ได้รับเงินจากมันด้วย
เอ็มม่า: ไม่ ไม่! แต่ฉันเคยสงสัยว่าคุณจะพูดถึงสองสาเหตุที่คุณรณรงค์ และสิ่งที่คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับการรณรงค์ในช่วงหลายปีอย่างที่คุณได้ทำไป
มาร์กาเร็ท: ก็ได้ ฉันมักจะได้รับการขอให้เป็นโฆษกด้วยเหตุผลง่ายๆ และเหตุผลก็คือ ฉันไม่มีงานทำ ยื่นซองขาวก็ไม่ได้ หลายคนอยากจะพูดถึงสิ่งเหล่านี้ แต่พวกเขามีงานทำ และพวกเขาอาจมีครอบครัว และพวกเขาก็จะตกอยู่ในอันตรายหากพวกเขากล่าวบางสิ่งบางอย่างที่ฉันทำ ดังนั้นทำไมศิลปินและนักเขียนจึงมักถูกเลือก พวกเขาไม่สามารถถูกยื่นซองขาวได้ พวกเขาสามารถทำให้เสียโฉมได้ แต่ผู้คนก็ยังสามารถเรียกชื่อพวกเขาได้ แต่พวกเขาไม่สามารถถูกไล่ออกได้ ดังนั้นฉันจึงถูกการขอให้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย และสิ่งที่ฉันทำ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสิทธิสตรี และจะขยายไปรวมถึงสิทธิเกย์เมื่อเป็นปัญหา และเพศอื่นที่เกี่ยวข้องที่เป็นประเด็น และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับศิลปะซึ่งรวมถึงสิ่งต่างๆ ที่ปากกาทำ เช่น การปกป้องนักเขียนที่ถูกตัดสินจำคุกเพราะสิ่งที่พวกเขาเขียนหรือถูกเนรเทศหรือถูกสั่งห้าม
เอ็มม่า: คุณเคยประสบความเหนื่อยหน่ายในฐานะผู้รณรงค์บ้างไหม?
มาร์กาเร็ท: ฉันคิดว่าฉันมีประสบการณ์มากเกินไป แต่ถ้าคุณหมายถึงความเหนื่อยหน่าย เช่นฉันยอมแพ้ มันไม่มีแบบนั้นหรอก ฉันคิดว่าคนที่มีประสบการณ์ความเหนื่อยหน่ายเป็นคนที่คิดว่านี่เป็นสิ่งที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา และมันจะไม่มีวันดีขึ้น และสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่นั้นไม่ได้สร้างความแตกต่างใดๆ สิ่งที่ยากที่สุดในการรณรงค์ แต่ง่ายขึ้นหน่อย เรื่องสิ่งแวดล้อมเพราะในตอนแรกผู้คนไม่เห็นว่ามันเกี่ยวกับตัวพวกเขาเองโดยตรง
เอ็มม่า: และตอนนี้ก็เกี่ยว
มาร์กาเร็ท: มากกว่านั้นอีก พวกเขาได้รับรู้ว่าถ้ามีสารพิษในน้ำและไม่มีใครให้ความสนใจกับมัน เด็กในครรภ์ของพวกเขาอาจได้รับบาดเจ็บและยังมีอื่น ๆ อีก
เอ็มม่า: คุณยังสนับสนุนนักเขียนคนอื่น ๆ อีก
มาร์กาเร็ท: ก็.. ฉันไม่สามารถสนับสนุนนักเขียนคนอื่นได้ทั้งหมดหรอก! [หัวเราะ]
เอ็มม่า: มีนักเขียนที่หน้าใหม่ที่คุณชื่นชมหรือใครก็ตามที่คุณรักโดยเฉพาะในตอนนี้หรือไม่?
มาร์กาเร็ท: ก็มีนะ แต่ฉันเลือกคนโปรดไม่ได้ เพราะคนอื่นอาจจะโกรธ
เอ็มม่า: ฉันเข้าใจนะ
มาร์กาเร็ท: แต่บางครั้งฉันอาจทวีตหนังสือ และฉันได้ตัดสินมากกว่าการแข่งขันวรรณกรรมมากพอสมควร และฉันได้ทำสิ่งที่ให้คำปรึกษา แต่ฉันค่อนข้างอายุมากที่จะพูดความจริงแล้วแหละ
เอ็มม่า: ม่ายยยย!
มาร์กาเร็ท: [หัวเราะ] มันใช่!
เอ็มม่า: นวนิยายหลายเล่มของคุณเป็นนิยายเก็งกำไรที่จินตนาการถึงสถานการณ์ในอนาคตสำหรับสังคมที่เป็นไปได้
มาร์กาเร็ท: ครั้งหนึ่งมันเป็นไปได้ ใช่เลย!
เอ็มม่า: คุณทำเหมือนนักเขียนนวนิยายที่ทำให้เห็นว่ามันส่วนหนึ่งในบทบาทของคุณไหม?
มาร์กาเร็ท: นวนิยายมีบทบาทหลักคือการเขียนนวนิยายของตนด้วยวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เหมือนนักแสดงที่มีบทบาทหลักในการทำหน้าที่ที่ดีที่สุดในการแสดง ดังนั้นถ้าคุณไม่ใช่คนแรกและสำคัญที่สุด กล้าที่จะใช้คำว่าเป็นศิลปิน แต่จะไม่มีใครสนใจคุณเลย ถ้าคุณไม่ดีในสิ่งที่คุณทำ ไม่มีสิ่งอื่นๆ ของคุณไม่มีความจริง ดังนั้นความรับผิดชอบแรกของคุณคืออาชีพหลักของคุณ สังคมเต็มไปด้วยผู้คนที่จะบอกให้ศิลปินรู้ว่าบทบาทของพวกเขาควรเป็นอย่างไรเพราะพวกเขาต้องการให้คุณเป็นโสเภณี แต่บทบาทหลักของคุณ ความรับผิดชอบหลักของคุณคืออาชีพของคุณ ในกรณีของฉันการเขียน ถ้าฉันยอมแพ้พยายามเป็นนักเขียนที่ดี ฉันจะทำอะไรล่ะ? นวนิยายควรมี "ข้อความ" ไหม?
ทุกสิ่งที่คุณเขียนเป็นช่วงเวลาของคุณเอง Walter Scott เขียนเรื่องรักแบบยุคกลางที่เรียกว่า Ivanhoe ซึ่งเป็นนวนิยายศตวรรษที่ 19 เพราะนั่นคือตอนที่เขาอาศัยอยู่ บทกวียาวของ Tennyson เกี่ยวกับ King Arthur เป็นบทกวีในศตวรรษที่ 19 ที่มีคุณค่าในศตวรรษที่ 19 ทั้งหมดที่เขามี พวกเขาไม่ใช่ค่ากลาง ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ ยอมรับหรือไม่ในฐานะนักเขียนคุณก็สามารถนำเสนอสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับเวลาและค่านิยมของเวลาเชิงลบหรือเชิงบวก คุณสามารถใส่ใจได้หรือไม่รู้สึกตัว ยังไงมันก็จะเกิดขึ้นอยู่ดี
เอ็มม่า: ใช่ มันจริงมากๆ คุณมีมุมมองของตัวเองและคุณคิดด้วยตัวคุณเอง ฉันสนใจจริงๆ ว่าคุณเป็นคนนี้ที่เชื่อในมุมมองและความเห็นของตัวเองได้อย่างไร?
มาร์กาเร็ท: หมายถึงไม่ตระหนักเลยนะหรอ?
เอ็มม่า: ใช่! นั่นแหละที่ฉันหมายถึง
มาร์กาเร็ท: [หัวเราะ] เอาล่ะ เอ็มม่า ฉันเติบโตขึ้นมาในป่า มันทำให้คุณมีมุมมองที่แตกต่าง ฉันเข้าสังคมอย่างไม่ถูกต้อง ฉันคิดว่าถ้าฉันโตขึ้นในเมืองเล็กๆ หรือถ้าฉันถูกส่งไปที่โรงเรียนกินนอนของเด็กหญิง เมื่อฉันอายุสี่ขวบในขณะที่คนรู้จักของฉันบางคนต่างออกไปบ้าง แต่ฉันกลัวสิ่งสามอย่างคือ พายุ ฝนฟ้าคะนอง ไฟป่า และหมี ครั้งหนึ่งฉันเคยบอกใครสักคนที่สอนให้ฉันขับรถตอนที่ฉันไม่สามารถทำอะไรได้เพราะฉันมีความรู้สึกกลัวไม่พอ [หัวเราะ]
เอ็มม่า: [หัวเราะ] ช่างน่าอัศจรรย์! มันยอดเยี่ยม
มาร์กาเร็ท: ไม่หรอก มันโง่เขลาจริงๆ ฉันอาจจะกลัวมากขึ้นเพราะไม่ได้มีความกลัวพอจะทำให้คุณเดือดร้อน
เอ็มม่า: ใช่ ฉันก็พบเจอแบบนั้นเหมือนกัน
มาร์กาเร็ท: งั้นเอ็มม่า เธอทำอย่างไรกับตัวเอง? [หัวเราะ] คุณไม่ได้เติบโตขึ้นมาในป่า
เอ็มม่า: ฉันไม่ได้เติบโตขึ้นมาในป่า แต่บางครั้งฉันก็ทำตัวในสถานการณ์เหนียวๆ ด้วยการกล้าหาญมากกว่าที่ฉันรู้ว่าจะเป็นยังไง แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามคือคุณใช้เวลาเกรงกลัวตัวมันเอง ซึ่งฉันก็ไม่ได้หาความรู้หรือความช่วยเหลือ
มาร์กาเร็ท: เราควรจะลองทำจริงกันๆ ในทางปฏิบัติ ฉันแค่โมเม
เอ็มม่า: ใช่ นั่นคือเป้าหมาย นั่นคือความฝันเลย ปฏิบัติกันในความจริง
มาร์กาเร็ท: [หัวเราะ] งั้นก็ขอให้โชคดีนะ!
เอ็มม่า: ใช่ โชคดีที่สุด! ขอบคุณมากๆ ที่เขียนหนังสือเล่มนี้ และสำหรับทุกอย่างที่คุณเขียนอย่างต่อเนื่อง คุณรู้อะไรไหม มันมีช่วงที่ฉันได้อ่านบางอย่างที่คุณได้เขียนไว้ และมันก็ทำให้ทุกอย่างแตกต่าง
มาร์กาเร็ท: ยินดีที่ได้ยินแบบนั้น
เอ็มม่า: ดังนั้น ก็ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่คุณทำและเป็นการ Margaret Atwood คุณสุดยอดมาก!
มาร์กาเร็ท: ขอบคุณที่เป็นเอ็มม่าเช่นกัน ฉันคิดว่าคุณสร้างแรงบันดาลใจให้กับหนุ่มสาวหลายๆ คน
เอ็มม่า: ฉันก็หวังว่าอย่างงั้น นี้มันสุดยอดมาก แน่นอนว่ามันสุดยอดจริงๆ ฉันบอกคุณไปว่าจะขอเวลาคุณแค่ 30 นาที แต่ตอนนี้มัน 34 นาทีแล้ว ฉันหวังว่า คุณจะยกโทษให้ฉัน
มาร์กาเร็ท: ยกโทษให้ทันทีเลย [ทั้งคู่หัวเราะ]
**หากแปลผิดยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ แอดมินมือใหม่หัดแปล**
**หากแปลผิดยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ แอดมินมือใหม่หัดแปล**
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น