T H E R E A P P E A R I N G A C T
ละครองค์ใหม่ เอ็มม่า วัตสัน
รอดพ้นจากความสับสนอลหม่านของชีวิตนักแสดงรุ่นเยาว์มาได้ และแทนที่จะรีบฉวยโอกาสนี้ก้าวขึ้นแท่นเป็นนักแสดงต่อทันที
เธอกลับหลบไป 2-3 ปีเพื่อพัฒนาตัวเอง
(ในที่ที่เหมาะสมกับเธอ
ซึ่งคงไม่ด้อยไปกว่าที่มหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง Brown) ตอนนี้เอ็มม่ากลับมาอีกครั้งในแบบที่เก่งกว่าเดิม
แกร่งกว่าเดิม และพร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเองได้สักที
ดึกแล้วและลอนดอนก็เปรี้ยวในทุกอณู
ทุกแห่งดูเก๋ไก๋ยกเว้นบาร์เม็กซิกันที่เอ็มม่าเลือกเป็นร้านสำหรับมื้อเย็น
สถานที่นี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของบรรยากาศในช่วงเลิกงาน มีแสงสีฉูดฉาดลอดออกมาจากหน้าต่างของร้านซึ่งฉาบด้วยหิมะบางๆ
และมีคนยืนเบียดเสียดอัดแน่นอยู่หน้าเคาน์เตอร์
บาร์แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่เราคาดคิดว่าจะพบดารานำจากเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์
แต่กระนั้นเราก็มานั่งอยู่ตรงนี้แล้วแบ่งฟาฮิต้าไก่กันและดื่มโมฮิโต้ที่รสชาติก็ไม่ได้ดีเด่อะไรนัก
เอ็มม่าชี้ไปยังด้านหลังของบาร์และพูดขึ้นมาอย่างภูมิใจว่า “หากคุณมองขึ้นไปบนบอร์ดก็จะเห็นชื่อของฉันอยู่ในนั้น
ในกลุ่มของเตกีล่าซอต” เมื่อถามว่าทำไมเธอถึงนัดพบเราในร้านที่ไม่ได้โก๋เก๋อะไรเช่นนี้
เธอยิ้มก่อนจะตอบว่า “ฉันอยากให้คุณเห็นถึง 2 ขั้วที่แตกต่างในชีวิตของฉันน่ะสิ”
ในวัย 23 ปีเอ็มม่าเป็นดาราฮอลลีวู้ดรุ่นใหม่ที่เราคาดกันว่า น่าจะมีรายได้ถึง 40
ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี
เธอขึ้นแท่นเป็นแฟชั่นไอดอลสร้างกระแสด้วยการสวมชุดโชว์แผ่นหลังสีแดงของ Dior
Haute Couture คู่กับกางเกงในงานลูกโลกทองคำ
และยังเป็นนักศึกษาที่มีชื่อเสียงที่สุดในอเมริกา ซึ่งในขณะที่อยู่ชั้นปีที่ 2
เธอเล่าในรายการ Late Show with David Letterman ว่าเธอทำเรื่องเปิ่นด้วยการพลาดยืม ‘ถุงยางอนามัย’
(Rubber ในประเทศอังกฤษหมายถึงยางลบ) ในชั้นเรียน
ตอนที่เราเจอกันเธอเพิ่งเสร็จสิ้นจากรายวิชาสุดหินอย่าง วิชาทฤษฏีวรรณกรรมวิจารณ์ “ฉันก็อยากจะเป็นคนแบบที่พูดได้ว่า ‘ฉันรักวิชาทฤษฏีสุนทรียศาสตร์ของคานท์จัง’
เหมือนกัน”
เธอพูดพลางปัดปอยผมที่ปรกหน้าไปทัดหู “แต่หากพูดอย่างนั้น
ฉันก็คงโกหกและฟังดูดัดจริตมาก” เธอสนใจชีรี่ย์อย่าง House
of Cards และ Friday Night Lights มากกว่า
รวมไปถึงให้ความสนใจเกี่ยวกับแพตตี้ สมิท
ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าในที่สุดจะกลายมาเป็นเพื่อนออนไลน์กับเธอ
ถือเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็น 2
ขั้วที่แตกต่างของเอ็มม่าอีกอย่างหนึ่ง
หลังจากเรียนจบปริญญาตรีด้านภาษาอังกฤษในเดือนมิถุนายนนี้
เอ็มม่าก็จะพบกับปัญหาข้อใหญ่ที่นักศึกษาจบใหม่ทุกคนต้องเจอ นั่นก็คือ “แล้วจะทำอะไรต่อจากนี้?” เธอเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เมื่อไม่นานในทวิตเตอร์ว่า
“เออ คือบอกฉันหน่อยว่าอีก 10 ปีจากนี้ไปชีวิตของฉันจะเป็นยังไง
โอเคมั้ย” และเสริมต่ออีกว่า “แล้วก็ทำให้ดูง่ายๆ
โดยจัดลงในตารางแบบแบ่งสีมาให้เรียบร้อยเลยนะ นี่ฉันไม่ได้ขอมากไปใช่ไหม”
สำหรับเอ็มม่าแล้วจุดที่ยืนอยู่นี้อาจทำให้ก้าวต่อไปของเธอดูน่าสับสนกว่าของคนอื่นหลายเท่านัก
นี่คือเด็กสาวที่เติบโตมาในอีกโลกหนึ่ง โดยตั้งแต่อายุ 9-21 ปีเธอรับบทบาทเป็นเด็กหญิงมักเกิ้ลผู้รอบรู้อย่าง เฮอร์ไมโอนี่
เกรนเจอร์ มาตลอด 8 ภาคของภาพยนตร์เรื่อง แฮร์รี่
พอตเตอร์ “มีนักแสดงสาวหลายคนที่เพิ่งโผล่ออกมาแค่ปีหรือปี
2 ปีสุดท้าย และพวกเธอก็ได้โผล่ออกมาแบบเป็นผู้เป็นคนจริงๆ” เธอพูดพร้อมยิ้มกว้าง “และฉันก็อิจฉาพวกเธอมาก! เพราะว่าทุกคนได้เห็นฉันในทรงผมแย่ๆ ฟันแย่ๆ ทุกชุดแย่ๆ
ที่ฉันใส่และได้ยินอะไรโง่ๆ ที่ฉันเคยพูดมาหมดแล้ว
อย่างเช่นมีอยู่ชุดหนึ่งที่ฉันสวมไปชมภาคสุดท้ายของ แฮร์รี่ พอตเตอร์ รอบพรีเมียร์
ฉันดูอย่างกับพยายามจะแต่งตัวเป็นนางฟ้าชูการ์พลัม ฉันดูเหมือนขนมเมอแรงก์เลย!”
ตั้งแต่ภาพยนตร์หลายภาคอย่าง แฮร์รี่
พอตเตอร์ จบลงในปี ค.ศ. 2011 (หลังจากกวาดรายได้จากการขายบัตรชมภาพยนตร์ทั่วโลกเกือบ 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) เราก็ได้เห็นเอ็มม่าค่อยๆ เปลี่ยนจากเด็กหญิงหน้าตาน่ารักมาเป็นหญิงสาวแสนงดงามที่ถอดแบบมาจาก
นาตาลี พอร์ตแมน โดยมีช่วงเวลาที่เธอพลาดกลายเป็นขนมเมอแรงก์ให้เห็นน้อยมากจริงๆ
แต่ส่วนมากเราก็ได้แต่มองเธอจากระยะไกลเท่านั้น มาตอนนี้เธอต้องกลับมายืนอยู่ในโลกแห่งความจริงนอกรั้วมหาวิทยาลัย
เอ็มม่าจะต้องพบกับข้อกังขาเช่นเดียวกับนักแสดงรุ่นพี่ของเธอต้องเจอ
ที่ถึงแม้จะไม่มีใครพูดออกมาแต่ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ ‘หรือว่าจุดสูงสุดในอาชีพของเธอผ่านไปแล้ว?’
เอ็มม่าตระหนักถึงข้อกังขานี้ดี “มีอะไรให้ฉันทำและพิสูจน์ตัวเองอีกเยอะ” เธอพูดเรียบๆ
คนสำคัญคนอื่นๆ ใน แฮร์รี่
พอตเตอร์ ต่างรับมือกับการจบลงของภาพยนตร์ได้อย่างน่าสนใจ เจ.เค. โรว์ลิ่ง ผู้ประพันธ์ปล่อยนวนิยายเล่มใหม่ของเธออย่าง The Cuckoo’s Calling ออกสู่ตลาดภายใต้นามแฝง
โดยอาจจะมีจุดประสงค์เพื่อหลักเลี่ยงความสนใจจากสื่อ (หนังสือได้รับการตอบรับที่ดีจากนักวิจารณ์
แต่เพิ่งมาติดอันดับขายดีหลังจากที่เธอ้ปิดเผยตัวแล้ว) ส่วน แดเนียล
แรดคลิฟฟ์ อดีตพอมดเด็กก็ได้พิสูจน์ตัวเองว่าตัวเองโตเป็นหนุ่มด้วยการถอดกางเกงโชว์ความเป็นหนุ่มของตัวเองในละครรอบบรอดเวย์
Equus ในปี ค.ศ. 2008
เอ็มม่าระมัดระวังตัวในการตอบรับมือกับชีวิตของเธอหลังการจบของ
แฮร์รี่ พอตเตอร์ มากกว่านั้น “มีคนเสนอบทให้ฉันเหมือนกันแต่ฉันคิดว่าตัวละครไม่ค่อยซับซ้อนเท่าไร”
เธอพูด “เป็นผู้หญิงที่ขาดมิติ
เป็นบทบาที่ฉันต้องแสดงเป็นคนแบบใดแบบหนึ่ง ผู้หญิงจริงๆ จะไม่เป็นอย่างนั้น” ดังนั้นแทนที่เธอจะยอมเล่นบทพื้นๆ
เอ็มม่ากลับซ่อนตัวอยู่ที่เมืองพรอวิเดนซ์ ในรัฐโรดไอซ์แลนด์ และออกมาปรากฏตัวก็ต่อเมื่อมีการแสดงของตัวเอง
ในภาพยนตร์ของ โซเฟีย คอปโปล่า เรื่อง The Bling Ring เอ็มม่าสวมบทร้ายปนน่าเวทนา เป็นเด็กใจแตกที่ย่องขึ้นไปปล้นบ้าน ปารีส
ฮิลตัน ครั้งแล้วครั้งเล่า
การรับบทเป็นวัตถุทางเพศครั้งแรกนั้นทำให้บทบาทนี้ยิ่งน่าสนใจขึ้นไปอีก “ในเวลาปกติฉันจะไม่ค่อยทำตัวเซ็กซี่น่าดึงดูดเท่าไร” เธอพูด “บางครั้งฉันจึงต้องลำบากหน่อยในการทำให้ผู้กำกับเชื่อว่าฉันสามารถสวมบทบาทเป็นตัวละครที่อายุมากกว่าได้” ด้วยการเหวี่ยงตัวรอบเสาแบบนักเต้นรำแสนเซ็กซี่ และยักย้ายไปมาในชุดของ Herve
Leger น่ะหรือ นั่นน่าจะเป็นวิธีช่วยได้ดีมากเลยทีเดียว
และบทรับเชิญของภาพยนตร์ล้อเลียนวันสิ้นโลกอย่าง
This Is the End เมื่อปีที่แล้ว
เอ็มม่าได้ตีภาพลักษณ์เด็กสาวใสซื่อของตัวเองรวมทั้งกระแทกหน้า เซธ โรเกน ด้วยด้ามขวานเสียกระจุย
เมื่อ แดนนี่ แม็กไบร์ด ปล่อยมุกหน้าตายออกมาว่า “เฮอร์ไมโอนี่เพิ่งกวาดเหล้าพวกเราไปซะเกรี้ยงเลย” เอ็มม่าหัวเราะทีหลังดังกว่า แฮร์รี่
พอตเตอร์ กลายเป็นปรากการณ์ทางวัฒนธรรมที่ไม่มีทางเลือนหายไป
แม้กระทั้งวันที่เราเจอกันมีข่าวออกมาว่าโรว์ลิ่งกำลังร่วมสร้างละครเวทีฝั่งเวสต์เอนด์
เรื่องปฐมบทของแฮร์รี่ พอตเตอร์ เอ็มม่าซึ่งเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกจากเราก็ทำท่าสงสัย
และกูเกิ้ลหาในโทรศัพท์มือถือของตัวเอง “จริงๆ ด้วย” เธอพูดพร้อมเสริมต่อด้วยความโล่งใจ “โชคดีที่ไม่มีใครขอให้ฉันแสดงเป็นตัวเองตอนเด็กได้”
อาหารเม็กชิกันราคาถูกในค่ำคืนนี้ฟังดูเข้าทีในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการผสมผสาน
2 ขั้ว
ระหว่างธุรกิจการแสดงและโลกแห่งความเป็นจริงของเอ็มม่า
เรื่อยไปจนถึงการแต่งกายของเธอ รองเท้าส้นสูงของ Lanvin และถุงเท้ายาวถึงเข่าจากห้าง
Barrey’s ถูกนำมาเข้าคู่กับกระโปรงวินเทจลายดอกไม้ที่เธอได้มาจากตลาดนัดแห่งหนึ่งในลอสแอนเจริส
สิ่งที่เอ็มม่าต้องการจะสื่อออกมานั้นชัดเจนว่าตัวเองเป็นนักศึกษาที่เคร่งเครียด
ซึ่งคุยเรื่องการสอบปลายภาคในขณะที่กระดกเหล้าเตกีล่าไปด้วย
แต่การปลอมตัวของเธอกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า เมื่อเด็กชายวัย 12 ขวบ จูงมือน้องสาวมาที่โต๊ะของเธอเพื่อขอลายเซ็น
เอ็มม่ามีข้อความมาตรฐานสำหรับอะไรแบบนี้หรือไม่ “ฉันเคยเขียนว่า
‘ศรัทธาในพลังเวทมนต์ (Believe in Magic)“ เธอพูดด้วยอาการเขินเล็กน้อย “แต่ตอนนี้ฉันเขียนว่า
‘รัก จากเอ็มม่า (Love from Emma)”
เมื่อเด็กๆ เดินกลับโต๊ะไปด้วยอาการดีอกดีใจ
เด็กผู้ชายก็ได้ทิ้งปากกาสีทองที่ดูมีราคาของแม่เอาไว้บนโต๊ะเรา “เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ” เอ็มม่าพูดพร้อมยักไหล่ “ฉันมีปากกาเก็บไว้เป็นคอลเล็กชั่นเลย”
สีหน้าของเอ็มม่าบอกเราในสิ่งที่เธอไม่สามารถพูดต่อหน้านักข่าวได้: ชีวิตของฉันมันประหลาดสิ้นดี
ชีวิตของเธอเดินทางมาไกลเหลือเกินจากเมืองแห่งวิชาการอย่างออกซ์ฟอร์ด
เมืองที่เอ็มม่ากำลังเรียนอยู่ในชั้นประถมตอนที่ทีมงานเดินทางมาค้นพบนักแสดงนำ 3
คนในเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ ขณะที่พ่อแม่ของแดเนียล
แรดคลิฟฟ์และรูเพิร์ต กรินต์ลาออกจากงานเพื่อมาจัดการดูแลอาชีพใหม่ของลูกๆ
แต่พ่อแม่ของเอ็มม่าเป็นทนาย 2 สามีภรรยาทีหย่าขาดจากกันเมื่อเอ็มม่าอายุได้
5 ขวบ และมีลูกด้วยกันมา 6 คน
เพียงแต่ดูให้แน่ใจว่าเอ็มม่ามีคนดูแล
แต่ไม่ได้ทิ้งอาชีพการงานของตัวเองเพื่ออาชีพของลูกสาว
การต้องรีบเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างรวดเร็วเช่นนี้มีผลต่อตัวตนของเอ็มม่า
เธอถูกเสื่อมองว่าเป็นตุ๊กตาพอร์ซเลน เป็นอดีตนักแสดงจากเรื่อง แฮร์รี่
พอตเตอร์ ที่มีนิสัยจริงเหมือนตัวละครที่ตัวเองเล่นมากที่สุด ซึ่งก็คือ เฮอร์ไมโอนี่
สาวน้อยที่มักจะยกมืออาสาตอบคำถามคนแรกในห้อง (เมื่อตอนที่เฮอร์ริเคนแซนดี้พัดถล่มเมืองนิวยอร์ก
ทำให้ต้องหยุดถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Noah ซึ่งใกล้จะเข้าฉาย
เอ็มม่าได้ใช้เวลาว่างเป็นจิตอาสาในโครงการ Citymeals-on-Wheels ตามอย่างนิสัยของเฮอร์ไมโอนี่เป๊ะ)
อย่างไรก็ตามเอ็มม่ายังยืนยันว่า เธอเป็นขบถเล็กๆ ในแบบของเธอเอง
การทะเลาะกันครั้งใหญ่ที่สุดกับ เดวิด เฮย์แมน ผู้สร้างภาพยนตร์ แฮร์รี่ พอตเตอร์
ไม่ใช่เกี่ยวกับการดูแลตัวเอง เพราะเอ็มม่าอยากขับรถไปทำงานเองใจจะขาด (คราวนั้นก็เถียงแพ้ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับการประกัน
แต่ก็ยังอุตส่าห์เกลี้ยกล่อมให้ ไนเจล คนขับสอนเธอขับรถได้ในที่สุด)
“ฉันจำได้ว่าเคยอ่านที่อลิซาเบธ
เทย์ลอร์เขียนเอาไว้” เธอเล่า “จูบครั้งแรกของเธอเกิดขึ้นขณะที่เธอกำลังรับบทเป็นตัวละครตอนที่อยู่ในฉาก
ฉันอ่านแล้วถึงกับสะอึก ฉันไม่รู้ว่ามึนเกิดขึ้นอย่างไรหรือทำไม
แต่ฉันรู้สึกได้ว่าถ้าไม่ระวังเหตุการณ์แบบนั้นอาจเกิดขึ้นกับฉันได้
จูบแรกของฉันอาจเกิดขึ้นตอนที่ฉันกำลังเป็นคนอื่น
และประสบการณ์ของฉันก็จะกลายเป็นของคนอื่นไป” ดังนั้นขณะที่มีข่าวว่าแดเนียลจะไม่ออกจากบ้านหากไม่มีบอดี้การ์ด
เอ็มม่ากลับสร้างความฮือฮาด้วยชีวิตนักศึกษาโดยการย้ายเข้าไปอยู่หอพักนักศึกษาชั้นปีที่
1 ซึ่งถือเป็นคำนิยามของการเปิดเผยตัวสู่โลกภายนอก เธอหั่นผมยาวทิ้งและเข้าร่วมแสดงละครของมหาวิทยาลัยจากบทประพันธ์ของเซคอฟ
เอ็มม่าเล่าว่ามีบางเวลาที่เธอคิดขึ้นมาว่า “ฉันไม่รู้ว่าฉันทำสิ่งนี้ได้หรือเปล่าหรือสิ่งนี้มันยังฟังดูเข้าท่าอยู่ไหม” แต่เธอก็ยังมั่นคงในจุดยืนและปฏิเสธงานใหญ่ๆ ที่อาจจะมาเบียดบังเวลาเรียนของเธอ
“ฉันไม่อยากใช้ชีวิตที่ฉันไม่สามารถใช้ได้” เธอพูด “ฉันเลยค่อนข้างจะดื้อและหัวรั้นมากในเรื่องนั้น”
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เอ็มม่าไม่แน่ใจว่าเธอยังอยากเป็นนักแสดงต่อไปอีกหรือเปล่า
แต่บทภาพยนตร์เรื่อง The Perks of Being a Wallflower ในปี ค.ศ. 2012 ก็ช่วยกระซากเธอกลับมาโดยที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว
ภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากหนังสือในชื่อเดียวกันได้รับการดัดแปลงและกำกับโดยผู้ประพันธ์อย่าง
สตีเฟ่น ชบอสกี
เรื่องนี้สะท้อนช่วงเวลาอันอ่อนไหวในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของนักเรียนไฮสคูลที่แปลกแยกคนหนึ่ง
โดยเอ็มม่าสามารถรับบทเป็นรุ่นพี่คนดังที่ค่อยให้ความสนใจแก่เด็กชายผู้ไม่มีใครเข้าใจได้อย่างลงตัว
เมื่อถามว่าทำไมเธอถึงอ้างอิงคำพูดในเรื่องว่า “We accept the love we
think we deserve” (เรายอมรับความรักที่เราคิดว่าตัวเองคู่ควร)
และสารภาพออกมาว่า “ฉันไม่ได้เดตกับผู้ชายดีๆ ตลอดเวลาหรอก
ฉันเดาว่าฉันเลยอินกับภาพยนตร์เรื่องนี้ และประโยคนี้มันเป็นแบบว่า โอเค
ฉันจะรับผิชอบสิ่งที่ฉันเลือกเอง” (มีสุดหล่อคนหนึ่งชื่อ
ฟรานซิส บูล ดาราจากเรียลิตี้โชว์ของอังกฤษที่เอ็มม่าเคยเดตด้วย
ได้เปิดเผยกับนิตยสารแท็บลอยด์ภายหลังว่า
พวกเขาเลิกกันเพราะเขาไม่อยากเป็นแฟนกับพวกดาราเด็กๆ)
เอ็มม่าเล่าว่าประสบการณ์ในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง
The Perks of Being a Wallflower
ของเธอนั้นดูเหมือนชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมากกว่าในมหาวิทยาลัยจริงๆ เสียอีก
วีรกรรมของเธอได้แก่การเดตกับนักแสดงร่วมอย่าง จอห์นนี่ ชิมมอนส์
และการบุกเข้าไปในสระว่ายน้ำตอนตี 3 “มันเป็นโรงแรม” เธอเล่าสนุก “มีมีรั้วกั้นรอบๆ พอเพื่อนฉันรู้ตัวอีกที
ฉันก็หายไปแล้ว แล้วพวกเขาก็เจอฉันกำลังปืนรั้วสูง 7 ฟุตอยู่” เมือนึกถึงนิสัยของเธอแล้วนั่นฟังดูไม่น่าแปลกใจเท่าไร
"เธออินกับประสบการณ์เป็นเด็กนอกเมืองมาก
เธอไม่รู้ว่า Olive Garden คืออะไร
เราไม่ได้อยู่โฟร์ซีซั่นกัน หากเธอเป็นคนประเภทที่ว่า 'ฉันต้องพักอยู่โรงแรมหรูๆ'
นั่นคงจะทำให้บรรยากาศเป็นอีกแบบ
แต่เพราะเธอเป็นคนที่ประสบความสำเร็จขนาดนั้น มันเลยเป็นการส่งสารออกไปว่าหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องของศิลปะและการจริงใจต่อกัน
และทุกคนก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกันหมด"
เอ็มม่าไม่ได้ก้าวลงมาจากสถานะนักศึกษาไอวี่
ลีค แต่เธอกำลังก้าวกระโดกลับมาในโลกแห่งความจริงด้วยบทบาทการแสดงที่ท้าทายที่สุดในตอนนี้
เธอรับบทเป็น อีลา ลูกเลี้ยงของโนอาห์ในมหากาพย์จากคัมภีร์ไบเบิ้ลเรื่อง Noah ฝีมือการแสดงของดาร์เรน อโรนอฟสกี ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์จากเรื่อง
Black Swan หากคุณคาดว่าจะได้เห็น Life of Pi ในเวอร์ชั่นบนเรืออาร์ก
โดยมีเอ็มม่าต่อสู้กับบรรดาสิงสาราสัตว์ที่สร้างจากเทคนิคคอมพิวเตอร์
เราขอให้คุณคิดใหม่ เพราะนักแสดงร่วมของเธอไม่ว่าจะเป็น แอนโทนี ฮอปกินส์, รัสเซล
โครว์ และ เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในฉากที่เธอต้องรับมือให้ได้
เอ็มม่าบรรยายถึงภาพยนตร์ลงทุนสร้าง 125 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
เรื่องนี้ราวกับเป็นกรณีศึกษาของจิตวิทยาของตัวละคร “มันฟังดูเป็นแนวเซ็กสเปียร์มากเลย” เธอพูด “จะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวนี้เมื่อพวกเขาถูกจับมาอยู่รวมกันในบริเวณที่จำกัดเป็นเวลา
40 วัน 40 คืน
แล้วก็เป็นวันสิ้นโลกด้วย มนุษย์ที่มีนิสัยแตกต่างกันเหล่านี้จะรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร
มนุษย์บริสุทธิ์ไหม? มนุษย์เต็มไปด้วยบาปไหม?
แก่นเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก”
เนื้อเรื่องของภาพยนตร์บอกเล่าถึงเรื่องราวที่กินเวลายาวนานหลายปี
การคัดเลือกนัแสดงที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ท้าทาย “เราต้องการหญิงแกร่งที่ดูสุขุมเยือกเย็น” อโรนอฟสกีเล่า
“ในขณะที่ยังมีความใสซื่อแบบเด็กสาว
และแน่นอนเธอต้องเป็นคนที่สวยมากอีกด้วย” เขาย้อนกลับไปนึกถึงจิตใจที่เข็มแข็งของเอ็มม่าในวันที่เธอต้องปะทะบทบาทกับรัสเซล
โครว์ และสภวาพอากาศที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา “เราเริ่มเปิดกล้องด้วยฉากที่หินที่สุดของเอ็มม่าฉากหนึ่ง” อโรนอฟสกีพูด “เราถ่ายทำกันในไอซ์แลนด์บนชายหาดท่ามกลางสภาพอากาศที่เลวร้ายมากๆ
ลมแรงจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงของนักแสดงเลย ดวงอาทิตย์ก็โผล่บ้างไม่โผล่บ้าง
เราต้องรอจนกว่าจะได้แสงแบบที่ต้องการ แล้วจึงค่อย อ้าวเร็วๆๆ แล้วอีกเดี๋ยวก็
อ้าวหยุดๆๆ เอ็มม่าสามารถตัดรบกวนจากสิ่งเลวร้ายภายนอกได้” (เอ็มม่าพูดพร้อมกับหัวเราะ
“ฉันสงสัยมาตลอดว่าอโรนอฟสกีสร้างสถานการณ์แบบนั้นขึ้นเองเพื่อทดสอบฉันหรือเปล่า”)
ในรอบปฐมทัศน์มีข่าวว่าภาพยนตร์เรื่อง
Noah สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ที่เคร่งศาสนาด้วยลักษณะเทวดาที่ดูแปลกไปจากที่เราเคยรู้จัก
และการพยายามบอกเป็นนัยว่าโนอาห์อาจจะเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมคนแรกของโลก
แต่สำหรับเอ็มม่าแล้วความคิดเห็นทีเธอมีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องการเมืองแต่เป็นเรื่องส่วนตัวทั้งสิ้น
“หากฉันจะต้องพูดตัดบทจริงๆ” เธอพูด “ฉันคงต้องบอกว่ามันเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ฉันเล่นเป็นหญิงสาวเต็มตัว”
มีอยู่ฉากหนึ่งตัวละครของเอ็มม่าจ้องเขม็งไปยังอเวจีที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้
เด็กสาวกลัวว่าเธอจะไม่มีโอกาสได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่
น้ำเสียงอันทรงพลังที่เปล่งออกมาของเธอนั้นแฝงไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างเป็นธรรมชาติ
ในขณะที่เธอถามโนอาห์ว่า “นี่คือจุดจบของทุกสิ่งทุกอย่างใช่ไหม?” ในวันคัดเลือกนักแสดงเธอเล่าว่า “ฉันคิดว่าอโรนอฟสกีคงเห็นว่าฉันน่าจะมีอะไรมากๆ
มานำเสนอ”
เรากำลังจะกินอาหารเย็นเสร็จพอดี
ตอนที่แก้วจากโต๊ะข้างๆ ตกแตกกระจายลงพื้น “สับสนอลหม่าน”
เอ็มม่าพูดพร้อมกับหันเหความสนใจออกจากบทสนทนาเกี่ยวกับอนาคตของเธอได้อย่างชาญฉลาด
เธอยังไม่ค่อยพร้อมที่จะพูดถึงเรื่องนี้แม้ว่าคำถามกดดันมาจากทุกทิศทาง
และไม่ได้มาจากสื่อเท่านั้น “ผู้คนจะชอบถามประมาณว่า ‘คุณอาศัยอยู่ที่ไหน’ ‘คุณทำอะไรอยู่’ ฉันไม่รู้ ฉันยังเด็กเกินกว่าที่จะตัดสินใจตอนนี้ว่าฉันอยากอยู่ที่นี่
หรือที่อเมริกา หรือที่นิวยอร์ก หรือที่แอล.เอ. หรือที่อื่นในโลก และฉันก็พยายามจะตอบคำถามเหล่านี้มาตลอด
3 ปีที่ผ่านมา ฉันน่าจะรู้แล้ว ฉันน่าจะตัดสินใจ
น่าจะเลือกได้แล้ว!”
ไม่นานนักหลังจากที่เราพบกันก็มีข่าวว่าเอ็มม่าและ
วิล อดาโมวิคซ์ แฟนหนุ่มในมหาวิทยาลัยของเธอได้แยกทางกันแล้ว หลายวันต่อมามีข่าวลือว่าเธอกำลังเดตอยู่กับหนุ่เครางามจอมเฮี้ยววัย
21 ปีอย่าง แมตต์ แจนนีย์
ซึ่งเป็นนักรักบี้ของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด
มีคนถ่ายภาพทั้งคู่กำลังกอดกันอยู่ที่ชายหาดแคริบเบียน ซึ่งระหว่างที่เรากินขนมหวานกันอยู่ในลอนดอน
เอ็มม่ายังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ของเธอ
สำหรับคนที่ให้คำนิยามว่าเธอเป็นพวกชอบจัดระบบชีวิตให้ตัวเองแล้ว
เอ็มม่าถือว่ามีช่องว่างในตารางปฎิทินเหลืออยู่มากนักในตอนนี้
เดือนนี้เธอต้องถ่ายภาพยนตร์กับ อเลฆานโดร อเมนาบาร์ (ผู้กำกับชาวสเปนที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์สุดสยองเรื่อง
The Others ซึ่งแสดงโดย นิโคล คิดเมน)
และกำลังจะมีโปรเจ็คกับบรรดาผู้กำกับอย่าง สตีเฟ่น ชบอสกี, เกียลเลอโม เดล ทอโร,
และเดวิด เฮย์เมน แต่นอกเหนือจากนั้นก็ยังไม่มีอะไร แต่ใช่ว่าเธอจะไม่มีแผนอะไรให้กับชีวิตเลย
“คุณอาจจะหาว่าฉันบ้า” เธอพูด “แต่ฉันเป็นคนที่จะต้องหาวิธีทำให้ตัวเองรู้สึกปลอดภัยและสบายใจจากภายในตลอดเวลา
เพราะฉันไม่สามารถพึ่งพาอะไรที่อยู่ภายนอกได้” ดังนั้น เมื่อปีที่แล้วเธอจึงได้รับประกาศนียบัตรรับรองการสอนโยคะและทำสมาธิ
“ถ้ามีอะไรที่ฉันได้จากมันก็คงเป็นเรื่องการเลิกพยายามค้นหาคำตอบและเรียกร้องความแน่นอนนั่นแหละ”
แต่ก่อนที่ก้าวขึ้นรถยนต์หรูที่พาเธอทะยานหายไปในค่ำคืนอันมืดมิดของมหานครลอนดอน
เอ็มม่ายังคงยืนยันความแน่นอนอีกอย่างหนึ่งในอนาคตของเธอ
นั่นก็คือความตั้งใจที่จะสวมทุกบทบาทเท่าที่จะทำได้
ตั้งแต่บทบาทที่เราเห็นเมื่อหลายปีก่อนไปจนถึงบทบาทธรรมดาๆ
อย่างการเข้ารับปริญญาบัตร "หลายคนเคยบอกว่าฉันทำมันไม่ได้หรอก ฉันก็ยังคงยืนยันคำเดิมว่า 'ฉันไม่แคร์' นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ และสำหรับฉัน
งานรับปริญญาจะเป็นลักษณะที่แสดงให้เห็นถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันจะไป
และฉันก็จะจัดงานเลี้ยงฉลองยิ่งใหญ่ และจะเมาให้เละไปเลย"
------------------------------------------------------------------------------------------
โดย: Mickey Rapkin / แปลและเรียบเรียง: ศุภิกา กมลนาวิน
คัดลอกบทความจากนิตยสาร ELLE Thailand ฉบับเดือนพฤษภาคม 2557 โดย EW Thailand
**
ขอความกรุณาใส่เครดิต หากคัดลอกบทความจจากบล็อกนี้ **
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น