วันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2560

Emma Watson covers Interview Magazine. (May 2017)


2 ภาพโฟโต้ชู้ตใหม่ของ Emma Watson ขึ้นปกนิตยสาร Interview ฉบับเดือนพฤษภาคม 2017 พร้อมบทสัมภาษณ์ใหม่ [บทความแปลไทย]




ถ่ายภาพโดย: PETER LINDBERGH
ออกแบบโดยt: ELIN SVAHN





บทสัมภาษณ์จากนิตยสาร [แปลไทย]: 

นี่ก็ผ่านไปแล้วเกือบจะ 6 ปีตั้งแต่ Harry Potter ภาคสุดท้ายปล่อยออกฉาย และมันยังคงเป็นเรื่องยากที่จะแยก Emma Watson ออกจากบท Hermione Granger บทบาทที่เธอแสดงทั้ง 8 ภาค ตั้งแต่เธออายุ 11 ปีจนเธออายุ 21 ปี บางทีอาจจะมีเหตุผลสำหรับสิ่งนี้ก็ได้ ในภาพยนตร์แฟนตาซีที่เธอบอกว่ากลายมาเป็นชีวิตของเธอและชีวิตของนักแสดงเพื่อนร่วมงานของเธอ อย่างเฮอร์ไมโอนี่ก็ได้เปิดเผยพรสวรรค์อย่างธรรมชาติ และต้องขอบคุณพระเจ้าเพื่อพวกเรา สำหรับความมุ่งมั่นในการทำสิ่งต่างๆ ในแบบของเธอ 

หรือว่านั่นจะหมายถึงการพักงานแสดงเพื่อมุ่งมั่นในการเรียนต่อมหาวิทยาลัยบราวน์ (Brown University) หรือการหาทางแก้ปัญหาในเรื่องความเสมอภาคทางเพศให้กับสหประชาชาติ (UN) ในบทบาทของเธอในฐานะ ‘ทูตสันถวไมตรี’ ของ UN Women 
เอ็มม่ายึดมั่นในความถูกต้องของเธอ และถ้าเธอจะทำผิดพลาดไปบ้าง อย่างที่เธอยืนยันว่าเธอเองก็มีความผิดพลาด แต่สิ่งเหล่านั้นจะไม่อยู่บนจอให้พวกเราได้เห็นกัน และไม่มีอย่างแน่นอนในภาพยนตร์ 2 เรื่องที่งดงามอย่าง The Perks of Being a Wallflower ในปี 2012 และ The Bling Ring ในปี 2013 ซึ่งทำให้เราได้เห็นอนาคตของเธอในภาพยนตร์เรื่องเล็กๆ 

และเดือนมีนาคมนี้ Emma Watson ผู้รับบท Belle ในภาพยนตร์รีเมคฉบับคนแดสงจริงอย่าง Beauty and the Beast และยังได้ร่วมงานกับ Tom Hanks ในภาพยนตร์แนวระทึกขวัญอย่าง The Circle สร้างมาจากนวนิยายของ Dave Eggers  ถ้าในอดีตเคยกลับไปยังโลกแห่งเวทมนตร์ที่เราได้พบเธอเป็นนครั้งแรก ในครึ่งหลังนั้นเอ็มม่าได้ให้โอกาสในการต้อนรับที่จะถามว่าเราอาศัยอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงในปัจจุบันเป็นอย่างไร อย่างที่เธอบอกต่อเพื่อนนักแสดงหญิงของเธอ ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 2 ครั้ง Jessica Chastain การต่อสู้เพื่อใช้ชีวิตบนจอของเธอ การกลายมาเป็นโฆษก เป็นแบบอย่างให้เด็กหญิงรุ่นใหม่ ทั้งหมดอาจจะยังคุ้มค่าหากเธอยังสามารถเป็นตัวของตัวเองได้

เจสสิก้า: ไงที่รัก ตอนนี้เธออยู่ไหน?

เอ็มม่า: ฉันตื่นเต้นที่คุณถามฉันนะ เพราะฉันไม่อยากให้มันเป็นเรื่องแปลก ฉันกำลังอยู่ในอ่างอาบน้ำที่ปารีส ฉันไม่อยากให้คุณได้ยินเสียงน้ำแล้วก็ทำแบบว่า ‘ห้ะ นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่?’ ฉันผ่อนคลายมาก แล้วคุณอยู่ไหนละ?

เจสสิก้า: ฉันอยู่ห้องที่โรงแรม มันมีกระเป๋าแต่งหน้าทำผมมากมายเต็มไปหมด

เอ็มม่า: ตราบเท่าที่มันยังมีเส้นชัดเจนอยู่บนพื้นให้ข้ามเพื่อให้คุณสามารถไปนอนบนเตียงได้ในตอนกลางคืน มันก็ดีแล้ว

เจสสิก้า: คุณอยู่ในช่วงวันหยุดหรอ หรือว่ากำลังทำงานอยู่?

เอ็มม่า: ฉันกำลังทำงานอยู่ ฉันเพิ่งจะถ่ายโฟโต้ชู้ตกับ Peter Lindbergh เสร็จไป คนที่ฉันรู้ว่าคุณก็เคยถ่ายแบบด้วย ฉันชอบเขามาก เขาเป็นช่างภาพที่รวดเร็ว รอบคอบมาก ยุ่งแล้วก็ บูม บูม! เขาเป็นคนรวดเร็ว เขาไม่วุ่นวาย ช่วงของวัน ฉันได้ถามเขาว่า “คุณมีแผนอะไรต่อจากนี้” และเขาก็ตอบว่า “เขาจะไปทำสมาธิ!” ฉันก็แบบว่า “แน่นอน คุณนั่งสมาธิเหมือนกับพระพุทธเจ้า คุณเป็นเหมือนคนที่มีความสุขที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา” 

เจสสิก้า: เล่าให้ฉันฟังถึงความสัมพันธ์กับแฟชั่นและการถ่ายแบบหน่อยสิ มันจะต้องเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างมากจากตอนแรกเริ่ม เพราะตอนนั้นคุณยังเด็กมาก

เอ็มม่า: แฟชั่นเป็นสิ่งที่ฉันรัก และฉันคิดว่ามันเป็นการแสดงออกและเป็นสิ่งสร้างสรรค์ด้วย เห็นได้อย่างชัดว่ามันเป็นหนทางเข้าสู่ตัวละครของฉัน ดังนั้นฉันจึงมีส่วนร่วมกับมันเสมอมา สิ่งที่ฉันคิดว่าเป็นเรื่องที่ยากสำหรับการถ่ายโฟโต้ชู้ตคือการเล่นเป็นตัวละคร คุณจะถูกช่างภาพขอให้คุณแสดงอย่างที่คุณทำในภาพยนตร์ และก็เป็นนักเพ้อฝันในแบบตัวของคุณเอง มันเกี่ยวกับการค้นพบเส้นแบ่งระหว่างการคล่องตัวและการเปิดทิศทาง แต่ยังพยายามอธิบายให้ช่างภาพทราบว่า "ฉัน" มักถูกนำออกจากบริบทเนื่องจากมีสิ่งอื่นๆ ทั้งหมดที่ติดมาด้วย ความจริงที่ว่าฉันเคยเป็นดาราเด็กเป็นสิ่งที่ยากสำหรับคนส่วนใหญ่ที่จะเข้าใจและอาจทำให้ขัดแย้งกันได้มาก ช่างภาพต้องการสร้างคุณในแบบใหม่เพื่อนำคุณไปยังที่อื่น เพื่อแสดงให้คุณได้เห็นความแตกต่างอย่างสมบูรณ์ พวกเขามองงานของพวกเขาก่อนและพยายามคิดว่าพวกเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง เพื่อแสดงให้เห็นด้านใหม่ของคุณได้

เจสสิก้า: ฉันสงสัยถ้าหากฉันมีอิสระในแบบที่คุณอาจจะไม่มี เพราะผู้คนเติบโตมากับการมองดูคุณกลายเป็นผู้ใหญ่ คุณจะมีมาตรฐานที่เป็นแบบเดียวกับที่คุณเคยเป็นอยู่เสมอมาหรือไม่?

เอ็มม่า: ฉันคิดว่าฉันเป็นนะ มันเป็นหนึ่งในหลายอย่างที่ฉันดิ้นร้น เพราะว่าเราทั้ง 3 คน แดเนียล รูเพิร์ท และฉันนั้นยังเป็นเด็กในตอนที่เราได้รับแสดงภาพยนตร์เทพนิยาย และสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเราเป็นเรื่องจินตนาการในตัวเอง นอกจอภาพยนตร์ เรื่องราวชีวิตของฉันจึงกลายมาเป็นจุดสนใจของสาธารณชน และนั่นคือเหตุผลที่ฉันหลงไหลในการมีลักษณะเฉพาะตัว เมื่อฉันก้าวเข้าสู่บทบาทของตัวละคร ผู้คนต้องเก็บความไม่เชื่อเอาไว้ก่อน พวกเขาจะต้องตัดฉันให้ขาดจากเด็กหญิงคนนั้น และไม่มีใครรู้ลึกถึงรายละเอียดในชีวิตของฉันทั้งหมดที่เป็นส่วนหนึ่งของฉันที่ฉันพยายามปกป้องเพื่อที่จะสามารถทำงานออกมาให้ได้ดี โดยทั่วไปแล้ว ฉันมีความโชคดี อย่างตอนที่ Sofia Coppola กำกับฉันในภาพยนตร์ The Bling Ring ซึ่งเป็นอะไรที่แตกต่างอย่างมหัศจรรย์ ศิลปินได้ให้อิสระกับฉันมากมาย สามารถจินตนากาฉันในแบบอื่นๆได้ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกได้อย่างแน่นอน

เจสสิก้า: ฉันได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับการแสดง ละครเวที และภาพยนตร์ ชีวิตในแบบทั่วไป ทำเรื่องผิดพลาด คุณรู้สึกมีอิสระที่จะทำแบบนั้นไหม?

เอ็มม่า: ฉันรู้ว่าฉันนั้นอยู่ภายใต้ส่วนเล็กๆ ที่แตกต่างในระดับหนึ่งของการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งฉันพบว่ามันยากจริงๆ ในบางครั้ง และในบางครั้งความกลัวในการทำสิ่งต่างๆ เป็นการครอบงำ ฉันได้รับความเต็มตื้นอย่างน่าเหลือเชื่อ และบางครั้งรู้สึกถูกห้อมล้อมจากสิ่งพวกนั้น หวาดกลัวจากสิ่งพวกนั้น ฉันรู้ว่าถ้าฉันใช้ชีวิตกับความกลัวพวกนั้น แล้วชีวิตของฉันในฐานะศิลปิน การเป็นคนทั่วไปจริงๆ นั้นคงจบสิ้น และท้ายที่สุด มันจะทำให้ฉันสงบนิ่ง และมันจะทำให้สิ่งที่อยู่ในตัวฉันเงียบสงบ ซึ่งฉันเองก็ยังไม่รู้และก็ยังไม่เจอ คนอื่นๆ ไม่อยากจะเชื่อหลังจากแสดงใน Harry Potter ฉันแบบว่า ‘ฉันจะไปโรงเรียน' หลักๆ เลย ฉันใช้เวลาตั้ง 5 ปีในการเรียนหนังสือ ทำแค่งานเล็กๆ น้อยๆ แค่ไม่กี่อย่าง และสำหรับคนอื่นๆ มากมาย มันดูเหมือนว่าฉันได้รับโอกาสมากมาย ฉันได้รับสายโทรศัพท์ผู้คนมากมายที่โวยวายฉัน  แต่ฉันต้องการพื้นที่ที่จะไปสำรวจตัวเองว่าฉันนั้นเคยเป็นใคร โดยไม่ได้อยู่ภายใต้สิ่งเล็กๆ และฉันได้แสดงละครที่มหาลัย เรื่อง Three Sisters ฉันรักมันมาก ฉันรักการทำงานร่วมกับคนอื่นๆ ที่อายุราวเดียวกันกับฉัน อย่างที่คุณบอก ฉันรักการฉันจะสามารถทำเรื่องผิดพลาด เพื่อให้สามารถก้าวออกไปเป็นกุญแจสำคัญได้ ตอนที่ฉันไปคัดตัวรับบทเฮอร์ไมโอนี่ ฉันมีความหวาดกลัวนี้ เพราะฉันไม่ได้คิดถึงคนอื่นๆ ฉันแค่รู้ว่าฉันรักเด็กหญิงคนนั้น และฉันก็รักบทบาทนั้นด้วย และก็ยังรักโลกนั้นด้วย แล้วงั้นฉันก็เลยไปคัดตัวนักแสดง แต่ตอนนี้ฉันมีสิ่งอื่นที่จะเอาชนะได้ อย่าง Beauty and the Beast ฉันได้ร้องเพลงเป็นครั้งแรก นักข่าวอาจจะถามฉันว่า ‘คุณคิดว่าคุณจะมาสมารถทำมันได้ไหม?’ ฉันมีความตระหนักว่าฉันจะสามารถผ่านมันไปได้ คืนก่อนที่ฉันจะขึ้นไปพูดบนเวที UN ฉันตื่นเต้นแทบตาย ฉันคิดไปแล้วว่าฉันจะเป็นโรคเครียดตายเป็นแน่  [หัวเราะ]

เจสสิก้า: บทพูดนั้นเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก ฉันรู้ว่ามันจะต้องเป็นเรื่องเครียดเวลาที่ผู้คนมากมายกำลังบอกคุณว่าอะไรเป็นสิ่งถูกสำหรับคุณ อะไรเป็นสิ่งที่คุณควรจะทำ แต่สำหรับฉันแล้วมันดูเหมือนว่าคุณฟังตัวเองมาเสมอ และทำตามสิ่งที่คุณคิดว่ามันถูกต้อง และผู้คนจะรักคุณในเรื่องผิดพลาดของคุณ ฉันชินกับการทำเรื่องผิดพลาดมาตลอด และตอนนี้ฉันตระหนักว่าหากฉันทำอีกครั้ง มีความนับถือมากมายที่จะได้รับเพื่อทุ่มเทตัวเองอย่างเต็มทีทำในสิ่งที่ชอบ

เอ็มม่า: มันมีคำพูดของ Theodore Roosevelt เยอะมากเกี่ยวกับความสำคัญของการอยู่บนเวที ไม่ว่าจะล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จ หรือคุณทำสิ่งโง่เง่าอย่างสมบูรณ์ของตัวเอง ตราบนานเท่าที่คุณทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณมี  การใช้ความรู้ใดก็ตาม คุณต้องนำมันขึ้นมาบนโต๊ะในตอนนั้นเลย และคุณเรียนรู้ต่อไป ฉันคิดว่าความผิดพลาดของฉันทำให้ฉันแข็งแกร่งขึ้น  เป็นที่ดีเมื่อรู้ว่าสิ่งนั้นไม่สามารถทำลายคุณได้อีก คุณจำต้องไปเพื่อเรียนรู้มัน ฉันได้พูดกับเพื่อนคนหนึ่งของฉันเมื่อเร็วๆนี้ “เอาละ ฉันมีวันที่แย่มากๆ มาหลายอาทิตย์แล้ว และฉันก็อยากจะค้นหาว่าฉันได้เรียนรู้อะไรไปบ้าง บทเรียนคืออะไร” และเขาก็มองมาที่ฉันและพูดว่า “คุณรู้ตัวดีว่าคุณกำลังพยายามข้ามขั้นตอนไปใช่ไหมละ? คุณจำเป็นต้องต้องรู้สึกแย่ๆ สักวันหรือสองวัน โกรธบ้าง อารมณ์เสียบ้าง เจ็บปวดบ้าง เสียใจสักเล็กน้อย และหลังจากนั้นคุณอาจหรืออาจจะไม่พบว่ามีบทเรียนอยู่ในนั้น แต่คุณจะไม่สามารถข้ามไปได้ คุณต้องร้องไห้สักนิดและโกรธ  หลังจากนั้นคุณก็จะคิดและวิเคราะห์ตัวเองได้” ฉันก็แบบว่า “เจ๋งโครต! เป็นเพื่อนที่พูดความจริงกับฉัน” [หัวเราะ]

เจสสิก้า: มันสำคัญกับคุณมากที่คุณจะปล่อยให้มันเกิดขึ้น มันก็ดีที่จะคิดวิเคราะห์บางสิ่งแต่... 

เอ็มม่า: คุณจำเป็นต้องอยู่ในร่างกายของตัวคุณเอง เจ็บปวด น่ารำคาญอะไรพวกนั้น ไม่มีใครอยากผ่านไปแบบที่รู้สึกไม่ดี แต่ในที่สุดฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ

เจสสิก้า: บทความที่คุณพูดบนเวที UN สำหรับโครงการความเสมอภาคทางเพศ HeForShe มันมาจากอะไร?

เอ็มม่า: ฉันทำงานกับองค์กรที่ชื่อว่า CAMFED ก่อตั้งโดยผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมชื่อ Ann Cotton ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้ทุนการศึกษา และเงินสำหรับครอบครัวที่จะส่งลูกชายไปโรงเรียนเท่านั้น ดังนั้น แอนจะหาเด็กหญิงเหล่านี้ พวกที่ออกเรียนตั้งแต่อายุ 9 10 11 12 ปี และพยายามที่จะสนับสนุนพวกเขา ไม่ใช่แค่การศึกษาระดับมัธยมเท่านั้น แต่ให้สินเชื่อธุรกิจขนาดเล็กด้วย และก็อย่างอื่นๆ อีก ฉันได้รับการทาบทามจากหลายองค์กรการกุศล แต่ฉันต้องการเข้าใจอะไรบางอย่างจากภายในก่อน ไม่เพียงแค่เข้าไปตรงๆ เพื่อเป็นใบหน้าสาธารณะของบางสิ่ง และฉันอยากจะทำงานกับองค์กรเล็กๆ ดังนั้นฉันเลยเดินทางไปที่ Zambia กับเพื่อนสองสามคน เราพักกันที่โรงเรียน ฉันนั่งอยู่หลังสุดของห้องเรียน ฉันได้พูดคุยกับแม่ของเด็กสาวที่อยู่ในโครงการและในชุมชน และฉันพยายามเข้าใจความคัดแย้ง และหลังจากนั้น UN Women ก็ถามฉันหากว่าฉันจะสามารถรับตำแหน่ง ‘ทูตสันถวไมตรี’ เพื่อช่วยเหลือเด็กและสตรี แต่ฉันจำได้ว่าเคยดูบทพูดอันชาญฉลาดของ Hillary Clinton บนความเสมอภาคของผู้หญิง บอกว่าพวกเขาเป็นสิทธิมนุษยชน และพวกเขาแสดงให้ผู้ชมเห็น และเกือบจะมีแค่ผู้หญิงที่อยู่ที่นั่น ทำไมเราถึงคิดว่าการสนทนานี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจำเป็นต้องฟัง? และพวกเขาก็ตอบว่า “เราอยากให้คุณพูด” ฉันคิดว่า “โอ้พระเจ้า!” ฉันจำเป็นต้องใช้เวลากว่า 6 เดือนเขียนมันขึ้นมา จากรายการบันทึกประจำวันที่ฉันเก็บไว้ตั้งแต่ฉันอายุ 12 หรือ 13 ปี

เจสสิก้า: ฉันจำได้ว่ามันเคลื่อนไหวอย่างไร ฉันรู้สึกได้ว่าคุณพูดออกมาจากใจ ฉันยังคงกลับมาสู่ถ้อยคำที่แท้จริง

เอ็มม่า: มันเป็นหนึ่งในคำโปรดของฉัน

เจสสิก้า: มันน่าสนใจที่คุณพูดแบบนั้น เพราะนั้นเป็นสิ่งที่ฉันคิดถึงเมื่อฉันนึกถึงคุณ

เอ็มม่า: พระเจ้า!

เจสสิก้า: ฉันคิดว่าในสังคม มีความอันตรายที่ทุกคนรู้สึกว่าพวกเขาต้องทำเป็นคนที่เย็นชา แต่ฉันไม่รู้สึกแบบนั้นกับคุณ คุณพูดจากใจของคุณ และหัวใจที่เปิดกว้างของคุณบังคับให้หัวใจของฉันเปิดด้วย

เอ็มม่า: ยังไงก็ดี ไม่มีเกียรติสูงส่งหรือคำชมเชยที่คุณอาจให้ฉันใช้คำนั้น ไม่มีใครชอบการรู้สึกอ่อนแอหรืออึดอัด แต่ฉันพบจริงๆ ว่าในช่วงเวลาพวกนั้น ตอนที่ฉันไปที่นั่น มันเหมือนมีเวทมนตร์  Brené Brown พูดบนเวที TED Talk ได้ดีเกี่ยวกับความอ่อนแอ นี่เป็นวิธีที่สำคัญที่สุดในการเชื่อมต่อกับคนอื่นๆ ทั่วไป

เจสสิก้า: หลายคนพูดว่าการแสดงเป็นเรื่องโกหก ซึ่งฉันก็ไม่เชื่อ เพราะคุณไม่ได้แกล้งเป็นคนอื่น

เอ็มม่า: อู้วว.. ไม่นะ! การแสดงบอกเล่าถึงความจริงภายใต้สถานการณ์สมมุติ ฉันคิดคำที่เลวร้ายในการอธิบายการแสดงไม่ออกแล้ว  นอกจากนี้ฉันยังเป็นคนโกหกที่เลวร้ายที่สุดตลอดกาล ฉันจำได้ตอนที่พยายามโกหกเพื่อที่จะเข้าคลับตอนที่ฉันเพิ่งอายุเข้า 18 ปี พวกเขาถามอายุฉัน และเพื่อนของฉันก็เข้าไปข้างในแล้ว มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ฉันก็แบบว่า “ฉันทำไม่ได้” มันยอดแย่มาก พวกเขาก็จะแบบว่า “นี่เธอเป็นนักแสดงนะ เป็นอะไรหนักหนา เข้าไปด้วยกันสิอิสตรี!” [หัวเราะ]

เจสสิก้า: ฉันก็เคยเป็นนะ เพื่อนของฉันมีบัตรประชาชน แล้วเพื่อนก็ให้บัตรประชาชนกับฉันเพื่อใช้ผ่านเข้าไปในคลับ และชายคนที่ 2 ดูบัตรประชาชนและถามฉันว่า “นี่คุณหรอ?” ฉันเดินเข้าไปแล้ว และตอบว่า “เปล่า!” [หัวเราะ]

เอ็มม่า: ไม่นะ! ฉันแย่ที่สุดแล้ว

เจสสิก้า: ตอนเลือกบทของคุณ คุณมองไปที่ส่วนของทีมงานไหม? หรือว่ามันเป็นสัญชาติญาณมากกว่า?

เอ็มม่า: บางครั้งผู้คนพูดถึงฉันว่าเป็นตราสินค้า มีกลยุทธ์หรืออะไรแบบนั้น  ฉันหวังอย่างจริงจังว่าฉันจะมีมันพอที่จะมีกลยุทธ์ แต่มันเป็นสัญชาติญาณล้วนๆ ส่วนมากจะมาจาก 2 สิ่ง คนที่ฉันทำงานด้วย ผู้กำกับสำคัญต่อฉันมาก และสคริปท์ มันมีแค่บรรทัดเดียวที่ฉันได้อ่านแล้วก็แบบว่า “โอเค ฉันต้องพูดบรรทัดนี้ ฉันต้องเล่าเรื่องราวนี้” มันจะมีความพอใจในทันที และหากไม่มีบรรทัดนั้น แม้ว่าเรื่องราวจะน่าสนใจ ฉันก็จะให้แม่อ่านแทน ให้เพื่อนอ่านแทนด้วย จะให้คนทำเล็บอ่านแทนฉันด้วย [หัวเราะ] ฉันเป็นคนที่ต้องการพูดคุยเรื่องนี้จริงๆ และเห็นได้ชัดว่าฉันมีผู้จัดการและตัวแทนที่ยอดเยี่ยม และฉันจะฟังอย่างตั้งใจในสิ่งที่พวกเขาพูดอย่างดี แต่มันเป็นสิ่งเล็กๆ ของอิสระทั้งหมดนั้น เอาแบบตรงๆ เลยฉันอยากได้ความคิดเห็นจากแมวของฉันด้วยถ้าเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม หากมีอะไรที่ฉันจำเป็นต้องพูด ฉันก็จะพูด ถ้าเป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกเชื่อมโยงอย่างแท้จริง งั้นฉันก็จะทำมัน แต่โดยทั่วไปแล้วฉันรู้สึกอึดอัดที่เป็นหัวข้อสนทนา และพยายามหลีกหนีจากสิ่งเหล่านั้น

เจสสิก้า: สิ่งที่ยากลำบากคืออะไร เมื่อคุณเล่นตัวละครที่น่ากลัวจริงๆ คุณจะพูดถึง?

เอ็มม่า: อย่างแน่นอน เพื่อนของฉันรู้เรื่องนี้เกี่ยวกับฉันและพวกเขาก็ชอบแบบว่า "คุณรู้ว่านั่นมันไร้สาระ คุณกำลังทำสิ่งที่โดยรวมแล้วผิดพลาด" ฉันรู้ว่าฉันเป็นคนที่ผิดธรรมดาและบางครั้งก็ไม่เหมาะสมกับอาชีพของฉัน แต่มีบางอย่างที่ทำให้ฉันกลับมา มีบางอย่างในตัวฉันที่รู้สึกว่าฉันต้องทำแบบนี้ นี่คือสิ่งที่ฉันตั้งใจจะทำ ถ้าฉันไม่รู้สึกแบบนี้ฉันจะไม่ทำ แต่มันเต็มไปด้วยความขัดแย้งอย่างแน่นอน

เจสสิก้า: มีใครที่ให้คำแนะนำคุณในการแสดง หรือนำทางในทางสื่อสังคมไหม?

เอ็มม่า: ฉันจำตอนที่ฉันเป็นแบบ “นี่ฉันเป็นบ้าหรอ? ฉันเป็นคนโหดเหี้ยมหรอ? ทำไมฉันถึงทำกับตัวเองแบบนี้?” แต่หนึ่งในที่ปรึกษาของฉันบอกว่า “ในชีวิต สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น และเท่าที่เราสามารถพยายามที่จะต่อสู้เพื่อทำชีวิตในแบบของเรา มีสิ่งที่พยายามจะกลับมาหาคุณ และคุณจะต้องทำตามคำสั่งของคุณเอง” ฉันคิดว่าความกลัวหาเราจนเจอและบังคับเราให้เผชิญหน้ากับมันซ้ำแล้วซ้ำอีก ในแง่ของสื่อสังคมออนไลน์ มันเป็นเขตทุ่นระเบิด! เทคโนโลยีเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ทุกคนกำลังทะเลาะกันไปรอบๆ พยายามทำความเข้าใจว่าการมีตัวตนนั้นเป็นอย่างไร การใช้ชีวิตของเราบนอินเตอร์เน็ต พื้นที่ส่วนตัวหมายความว่าอย่างไร ฉันคิดว่าเรากำลังพยายามที่จะหากฎกันในตอนนี้ อย่างที่เราพูดและมันเป็นเรื่องยาก แต่ก็เหมือนทุกอย่าง อินเทอร์เน็ตเป็นพลังที่มีประสิทธิภาพอย่างไม่น่าเชื่อซึ่งจำเป็นต้องมีการปกครอง ไม่ใช่เพื่อจำกัดเสรีภาพของเรา แต่เพื่อปกป้องผู้คน

เจสสิก้า: ขอแสดงความนับถือในทางสื่อสังคม ฉันไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่ต้องขอบคุณที่เยาวชนหญิงมีคนอย่างคุณมองหาใครบางคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาและความถูกต้องมากกว่าแคลอรี่ที่ว่างเปล่าของสิ่งที่โซเชียลมีเดียที่สามารถเป็นได้ 

เอ็มม่า: พระเจ้า! ฉันจินตนาการไม่ออกว่ายุคหลังจากฉันนั้นจะเป็นอย่างไร ที่พ่อแม่ของพวกเขาเอาแต่บันทึกเรื่องราวชีวิตทั้งหมดของพวกเขาขณะที่พวกเขาโตขึ้น มันเหมือนจะบ้าที่คิดว่าสิ่งต่างๆ เปลี่ยนไปเร็วแค่ไหน การถ่ายทำภาพยนตร์ The Circle ทำให้ฉันคิดถึงรายละเอียดพวกนี้มากขึ้น ฉันอ่านหนังสือมาก่อน ฉันหยุดคิดไม่ได้เลย ไม่ใช่แค่ในอนาคตอันยาวไกล มันอาจจะเกิดพรุ่งนี้เลยก็เป็นได้ เมื่อเร็วๆนี้บใครบางคนกล่าวว่าเขาคิดว่ามันเป็น The Truman Show ผสมกับ The Graduate และ Kardashians และฉันกล่าวว่าฉันขอให้นิยามภาพยนตร์เป็น The Social Network ผสม All About Eve และ Panic Room ที่เป็น The Social Network ก็เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่ตรงข้ามกับความต้องการของมนุษย์ขั้นพื้นฐาน รู้สึกถึงการถูกรัก รู้สึกถึงการถูกมองเห็น รู้สึกถึงการเชื่อมโยง รู้สึกว่าคุณเป็นส่วนหนึ่ง และที่เป็น All About Eve ก็เพราะความซับซ้อนของความสัมพันธ์ของผู้หญิงในโลกปิตาธิปไตย มันมักมีผู้หญิงเพียงคนเดียวหรือสองคนในห้องประชุม และเป็น Picnic Room ก็เพราะว่ามันรุนแรง

เจสสิก้า: เคยใช้เทคโนโลยีอื่นๆ ที่แตกต่างออกไป ตั้งแต่ถ่ายทำภาพยนตร์ไหม?

เอ็มม่า: พระเจ้า! ใช่ ฉันตั้งขอบเขตระหว่างชีวิตส่วนตัวและชีวิตสาธารณะของฉันมากกว่าที่ฉันเคยมีมาก่อน  มันทำให้ฉันคิดมากขึ้นกับสิ่งที่ฉันจะทำถ้าหากฉันมีลูก เด็กจำนวนมากของยุคนี้ใช้ทั้งชีวิตเปิดเผยตนเองต่อสาธารณชนก่อนที่พวกเขาจะพูดถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการ ฉันคิดว่ามันควรจะเป็นทางเลือกอยู่เสมอ ฉันรักสื่อสังคม ฉันรักในสิ่งที่มันทำได้ และทำให้ผู้คนมาอยู่รวมกัน แต่การใช้ในทางที่ผิด มันอาจอันตรายเพิ่มมากขึ้น ความใส่ใจของเราเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด ก่อนจะเริ่ม Press Tour ฉันได้ลบแอพอีเมลออกจากมือถือของฉันและพยายามสร้างขอบเขตอย่างจริงจังกับมัน เพราะมันเป็นสิ่งเสพติด เราจำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเรากำลังใช้เทคโนโลยี และเทคโนโลยีไม่ได้ใช้เรา

เจสสิก้า: นอกจากการลบอีเมลของคุณแล้วคุณยังทำอะไรเพื่อเป็นการผ่อนคลายอีกไหม เมื่อไม่มีใครเฝ้าดูคุณ ไม่มีใครคิดถึงคุณในฐานะดาราหนังหรือคนต้นแบบ คุณชอบทำอะไรบ้าง?

เอ็มม่า: เวลาผู้คนเรียกฉันว่าต้นแบบ มันทำให้ฉันทำให้หวาดกลัวมากเพราะฉันรู้สึกว่าตัวเองถูกกำหนดว่าจะล้มเหลว

เจสสิก้า: แต่จงจำไว้นะว่า คุณสามารถสอนผู้คนได้ว่าความล้มเหลวของเราเป็นของขวัญชิ้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเรา

เอ็มม่า: จริงที่สุด Steve Jobs กล่าวสุนทรพจน์ที่ดีที่เขาพูดถึงการเปลี่ยนแปลงที่ผิดพลาดในชีวิตของเขาทำให้เขาอยู่บนเส้นทางที่เขาต้องการได้อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม ฉันทำอะไรอยู่นะหรอ? ฉันทำขนมอยู่ ฉันค่อนข้างไปได้ดีกับเค้กกล้วยหอมอบช็อกโกแลตชิพของฉัน ฉันไม่คิดหรอกว่าใครจะเชื่อว่ามันออกมาดีแค่ไหน  มันกำลังไปได้ดีอีกระดับหนึ่ง แล้วฉันก็ออกไปเที่ยวกับแมวของฉัน ฉันรักการท่องเที่ยว ฉันไปบริษัทซาฟารี่มาก่อนที่ฉันจะเริ่มออกทัวร์ ซึ่งฉันก็รักมากเลย ฉันรักการเต้น ฉันเป็นผู้หญิงที่จะลุกขึ้นและเต้นแบบที่ไม่มีความเมาด้วย คุณไม่จำเป็นต้องให้ฉันแก้ตัวหรอก ถ้ามีเพลงเจ๋งๆ สักเพลงดังขึ้นและฉันก็อยู่ตรงนั้น  ฉันจะเต้นแบบเมามันส์!

เจสสิก้า: เพลงไหนเป็นเพลงโปรดของคุณ?

เอ็มม่า: ฉันชอบเพลง hip-hop มาก ทุกคนก็จะประมาณว่า “จริงดิ! คุณฟังออกทุกคำเลยหรอ?” ฉันก็ตอบไปว่า “ใช่” อย่าง Beyoncé และ Gaga

เจสสิก้า: คุณต้องลุกออกจากอ่างอาบน้ำแล้วล่ะตอนนี้ เพราะคุณกำลังจะกลายเป็นคนพิลึกแล้วล่ะ

เอ็มม่า: [หัวเราะ] ขอบคุณ เจอกันเร็วๆนี้ รักมากมาย 








แปลไทย: EWThailand / ppiangsuree

1 ความคิดเห็น:

  1. คุณต้องการความช่วยเหลือทางการเงินหรือไม่? สินเชื่อส่วนบุคคล? สินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อจำนอง? บริษัท สินเชื่อ? เงินทุนเกษตรและโครงการ? เราให้สินเชื่อในอัตราดอกเบี้ย 2%! ติดต่อ: (georgeanderson.loanfirm255@gmail.com)

    ข้อเสนอสินเชื่อด่วน

    ตอบลบ