ประวัติของ 'เอ็มม่า วัตสัน':
'เอ็มม่า วัตสัน (Emma Watson)' มีชื่อเต็มว่า 'เอ็มมา ชาร์ล็อต ดูแอร์ วัตสัน (Emma Charlotte Duerre Watson)' เกิดเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2533 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แต่ย้ายมาอยู่เมืองออกซ์ฟอร์ดเชอร์ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เนื่องจากพ่อแม่แยกทางกัน
ทั้งคุณพ่อและคุณแม่เป็นนักกฏหมายชาวอังกฤษ มีนามว่า Chris Watson และ Jacqueline Luesby
เอ็มม่ามีน้องชายแท้ๆ อยู่ 1 คนก็คือ Alex Watson (เกิด 15 ธันวาคม 2535) ซึ่งอายุห่างกันแค่ 2 ปี ทั้งคู่ย้ายกลับมาอยู่กับคุณแม่ที่เมืองออกซ์ฟอร์ดเชอร์ ประเทศอังกฤษ และในวันหยุดสุดสัปดาห์ก็จะไปอยู่กับคุณพ่อที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
นอกจากอเล็กซ์แล้ว เอ็มม่ายังมีพี่น้องต่างบิดามารดาอีก 5 คน ก็คือ David และ Andrew (ไม่ทราบนามสกุล) ซึ่งเป็นลูกเลี้ยงของแม่ของเอ็มม่านั่นเอง เอ็มม่าเคยพูดถึงเดวิดในรายการ UK TV show Lorraine ว่า “ความสัมพันธ์ของฉันกับ Ezra Miller ทำให้ฉันนึกถึง David พี่ชายอีกคนของฉัน” แถมยังบอกอีกว่าเขาเป็นคนแรกที่ปลอบเอ็มม่าตอนอกหักครั้งแรก!!
และเอ็มม่าก็ยังมีน้องชายและน้องสาวฝาาแฝดร่วมบิดาเดียวกันก็คือ Toby Watson, Nina Watson และ Lucy Watson
และน้องโทบี้ก็เคยทวิตภาพสนับสนุนเอ็มม่าเมื่อตอนเปิดโครงการ HeForShe ด้วย
Toby Watson |
เอ็มม่าเข้าศึกษาที่โรงเรียน Dragon ในเมืองออกซ์ฟอร์ด ตอนเอ็มม่าอายุ 6 ขวบ เอ็มม่ารู้ตัวว่าอยากเป็นนักแสดง เอ็มม่าจึงเข้าเรียนร้องเพลง เต้นรำ และการแสดงที่โรงเรียน Stagecoach Theatre Arts แบบไม่เต็มเวลาหลังเลิกเรียน
ตอนอายุ 10 ขวบ เอ็มม่าได้แสดงละครเวทีของโรงเรียนสเตจโคชหลายเรื่อง รวมถึงเรื่อง "Arthur: The Young Years" and "The Happy Prince"
หลังจบโรงเรียน Dragon School เอ็มม่าย้ายไปเรียนที่โรงเรียน Headington School ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549 เอ็มม่าได้เข้าสอบ GCSE 10 วิชา ได้รับเกรด A+ ทั้งหมด 8 วิชา และเกรด A ทั้งหมด 2 วิชา
David Heyman ได้บอกเอ็มม่าและเพื่อนที่มาสมัครคัดเลือกอย่าง Daniel Radcliffe และ Rupert Grint ว่าพวกเขาได้รับบทเป็นนักแสดงนำทั้งสามตัวละครอย่าง Hermione Granger, Harry Potter และ Ron Weasley
"J.K. Rowling ชอบเอ็มม่าตั้งแต่ทดสอบหน้ากล้องครั้งแรก"
นับตั้งแต่การเปิดตัวของภาพยนตร์เรื่องแรกของแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดอย่าง Harry Potter เอ็มม่าได้กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอย่างรวดเร็ว เธอยังคงเล่นบทบาทของ Hermione Granger เป็นเวลาเกือบสิบปีในภาพยนตร์ Harry Potter ทั้ง 8 ภาค
- Harry Potter and the Philosopher's Stone (2001)
- Harry Potter and the Chamber of Secrets (2002)
- Harry Potter and the Prisoner of Azkaban (2004)
- Harry Potter and the Goblet of Fire (2005)
- Harry Potter and the Order of the Phoenix (2007)
- Harry Potter and the Half-Blood Prince (2009)
- Harry Potter and the Deathly Hallows: Part 1 (2010)
- Harry Potter and the Deathly Hallows: Part 2 (2011)
- Harry Potter and the Philosopher's Stone (2001)
- Harry Potter and the Chamber of Secrets (2002)
- Harry Potter and the Prisoner of Azkaban (2004)
- Harry Potter and the Goblet of Fire (2005)
- Harry Potter and the Order of the Phoenix (2007)
- Harry Potter and the Half-Blood Prince (2009)
- Harry Potter and the Deathly Hallows: Part 1 (2010)
- Harry Potter and the Deathly Hallows: Part 2 (2011)
ในด้านการศึกษา เอ็มม่าได้เริ่มเข้ารับการศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยบราว์ (Brown University) ตั้งแต่ปี 2009 และมหาวิทยาลัยบราวน์เป็น 1 ใน 8 สมาชิกของไอวีลีก (Ivy League) คือ กลุ่มมหาวิทยาลัยเอกชนในอเมริกาที่มีชื่อเสียงอย่างมากในด้านคุณภาพการศึกษาที่ดีเยี่ยม เอ็มม่าได้พักการเรียนปี 1 ปีในปี 2011 เพื่อกลับไปเต็มที่ถ่ายทำภาพยนตร์ Harry Potter ภาคสุดท้ายในเสร็จ หลังจากนั้นเอ็มม่าก็กลับมามุ่งมั่นตั้งใจเรียนต่อเพื่อลบคำสบประมาทของใครหลายๆคนที่บอกว่าเธอจะเรียนไม่จบ และเอ็มม่าได้สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยบราวน์ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวรรณกรรมอังกฤษ แถมยังจบด้วยเกียรตินิยม ในสาขาวรรณคดีอังกฤษ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2014
เอ็มม่า เคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร ELLE ฉบับเดือนเมษายน 2557 เกี่ยวกับเรื่องชีวิตการเรียนของเธอว่า "หลาย ๆ คนบอกว่าฉันไม่มีทางทำมันสำเร็จ" แต่ตอนนี้เธอก็ได้พิสูจน์ให้เป็นแล้วว่าเธอทำมันได้ แถมชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยที่คนอื่นเคยมองว่าน่าจะเป็นเรื่องลำบากสำหรับดาราดัง ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคเลย เมื่อสาวสวยรายนี้ไม่ได้แคร์ความเป็นคนดังของตัวเอง และใช้ชีวิตเต็มที่เช่นเดียวกับวัยรุ่นทั่ว ๆ ไป
เอ็มม่าคอนเฟิร์มความเป็นนักศึกษาธรรมดา ๆ คนหนึ่งของตัวเองว่า "ตอนอยู่มหาวิทยาลัยยังไม่เห็นมีใครมาขอลายเซ็นเธอเลยแม้แต่คนเดียวด้วยซ้ำ"
และในปี 2014 ทาง UN Women ได้แต่งตั้งให้เอ็มม่ารับตำแหน่ง ทูตสันถวไมตรี และริเริ่มโครงการ #HeForShe เป็นโครงการที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อเรียกร้องให้สุภาพบุรุษทั้งหลายลุกขึ้นยืนหยัดต่อสู้เพื่อความเสมอภาคทางเพศ ภายใต้การสนับสนุนขององค์กร UN Women เพื่อให้สตรีได้รับโอกาสและเสรีภาพมากขึ้น และหลังจากนั้นมาเรื่อยๆ เอ็มม่าก็สนับสนุนโครงการเกี่ยวกับความเสมอภาคทางเพศอีกมากมาย รวมถึงการก่อตั้งชมรม Our Shared Shelf บน Goodreads เพื่อแบ่งปันหนังสือเกี่ยวกับสิทธิสตรีอีกด้วย
ในปี 2015 เอ็มม่าได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน '100 ผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดแห่งปี' จากการทำงานเพื่อสังคมหลังจากได้รับตำแหน่งทูตสันถวไมตรีของ UN Women และก่อตั้งโครงการ HeForShe
และล่าสุดในปี 2020 เอ็มม่าได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารคนใหม่ของบริษัทแฟชั่นยักษ์ใหญ่อย่าง Kering โดยนั่งตำแหน่ง "ประธานกรรมการด้านความยั่งยืน (Chair of the sustainability Committee)"
เรียบเรียง : EWThailand / ppainsguree
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น